
ส่องคู่แข่ง “หลานม่า” อีก 14 เรื่องดีกรีไม่ธรรมดา ลุ้นเป็น 1 ใน 5 ชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ประกาศ 23 มกราคม นี้
ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการประกาศ 5 เรื่องสุดท้าย เพื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (ACADEMY AWARDS/BEST INTERNATIONAL FEATURE FILM) โดยจะประกาศในวันที่ 23 มกราคม 2568 หลังจากที่เผยรายชื่อออกมาก่อนหน้านี้แล้ว 15 เรื่อง
อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า “หลานม่า” ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 15 เรื่องที่ผ่านเข้ารอบ ไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา
“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จักภาพยนตร์อีก 14 เรื่องที่อยู่ในลิสต์นี้ บอกเลยว่าแต่ละเรื่องมีดีกรีและความเป็นมาไม่ธรรมดา บ้างก็เป็นหนังรางวัล เป็นหนังที่สร้างจากเหตุการณ์ที่เป็นอิมแพ็คต่อสังคม ตลอดจนมีความโดดเด่นในประเภทของตัวเอง
Armand (นอร์เวย์)
มากันที่เรื่องแรก “Armand” ภาพยนตร์จากนอร์เวย์ ผลงานกำกับเรื่องแรกของ “Halfdan Ullmann Tøndel” (ฮาล์ฟดัน อุลล์มันน์ ทอนเดล) เป็นภาพยนตร์แนวจิตวิทยาซึ่งเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในโรงเรียนประถม เมื่อ Elisabeth (รับบทโดย Renate Reinsve) ต้องถูกเรียกตัวไปโรงเรียนของ Armand ลูกชายวัย 6 ขวบของเธอ หลังจากที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนกล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศ จากนั้นผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายจึงเผชิญหน้ากัน
ภาพยนตร์เรื่อง Armand มีดีกรีไม่ธรรมดา เคยได้รับรางวัล “Golden Camera” จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และสำหรับภาพยนตร์จากนอร์เวย์ก็ไม่ใช่หน้าใหม่ในเวทีนี้ หลังจากที่ “The Worst Person In The World” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติครั้งล่าสุดในปี 2022
Dahomey (เซเนกัล)
“Dahomey” เป็นภาพยนตร์สารคดีจากเซเนกัล ผลงานของนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส-เซเนกัล ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับอย่าง “Mati Diop” (มาติ ดิย็อป)
Dahomey เป็นชื่ออาณาจักรโบราณทางตะวันตกของแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันคือสาธารณรัฐเบนิน สารคดีเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งประดิษฐ์ของราชวงศ์ 26 ชิ้น ที่ถูกขโมยไปโดยกองทหารอาณานิคมฝรั่งเศสในปี 1892 ก่อนจะถูกส่งจากปารีสกลับไปสาธารณรัฐเบนินในปี 2021
ทั้งนี้ Dahomey เคยคว้ารางวัลใหญ่อย่าง “หมีทองคำ” จาก Berlin Film Festival 2024 (เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน ครั้งที่ 74 ประจำปี 2024) มาแล้ว แม้สารคดีจะมีความยาวเพียง 68 นาที แต่ก็เต็มไปด้วยน้ำหนักและความงดงามทางสุนทรีย์
Emilia Pérez (ฝรั่งเศส)
“Emilia Pérez” จากประเทศฝรั่งเศส ผลงานกำกับของ “Jacques Audiard” (ฌาคส์ ออดิอาร์ด) นับเป็นละครเพลงเพียงเรื่องเดียวที่ได้เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้าย รางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
แม้จะมาจากฝรั่งเศส แต่ Emilia Pérez’ เป็นละครเพลงภาษาสเปนแนวอาชญากรรมระทึกขวัญ ที่เล่าเรื่องของเจ้าพ่อยาเสพติดชาวเม็กซิกันที่ตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศ อย่าง “Manitas del Monte” โดยต้องการให้ทนายสาวอย่าง “Rita” รับบทโดย Zoe Saldaa (โซอี ซัลดานา) ช่วยจัดการทุกอย่างก่อนที่จะแกล้งทำให้ตัวเองตายลง และเข้ารับการผ่าตัด เพื่อที่จะมีชีวิตใหม่เป็นเพศหญิง
Emilia Pérez เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ พร้อมคว้ารางวัล “Jury Prize” หรือรางวัลขวัญใจคณะกรรมการไปครองได้สำเร็จ
นอกจากนี้ รางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 82 (The 82nd Annual Golden Globes) ประจำปี 2025 Emilia Pérez ยังกวาดไปถึง 4 รางวัลใหญ่ ประกอบด้วย รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทตลกและมิวสิคัล, ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลง El Mal) และรางวัลนักแสดงภาพยนตร์สมทบหญิงยอดเยี่ยม (Zoe Saldaa)
Flow (ลัทเวีย)
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติลัทเวีย จากผู้กำกับ “Gints Zilbalodis” (กินต์ส ซิลบาโลดิส) แน่นอนว่าเป็นแอนิเมชั่นเรื่องเดียวที่ปรากฏใน 15 รายชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
เนื้อเรื่องของ Flow เกี่ยวกับแมวที่พลัดถิ่นจากน้ำท่วม ซึ่งต้องเอาชีวิตรอดและหาบ้านหลังใหม่ โดยร่วมมือกับสัตว์ต่าง ๆ ทั้งนก สุนัข ลีเมอร์ และคาปิบารา
แอนิเมชั่นเรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นตัวอย่างของการให้การให้และรับมิตรภาพ ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการไว้วางใจซึ่งกันและกันที่ฝังอยู่ในการเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ยัดเยียดจนเกินไป Flow จึงเป็นอีกเรื่องที่น่าหลงใหล เต็มไปด้วยเสน่ห์ และความเป็นตัวของตัวเอง
The Girl With the Needle (เดนมาร์ก)
“The Girl With the Needle” ภาพยนตร์จากเดนมาร์ก โดยผู้กำกับ “Magnus von Horn” (แมกนัส ฟอน ฮอร์น) เปิดตัวที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญขาวดำ เกี่ยวกับเรื่องราวดราม่าการทำแท้งที่เกิดขึ้นในเดนมาร์กหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เดินเรื่องโดยคนงานในโรงงานที่ตกงาน ถูกทอดทิ้ง และตั้งครรภ์ โดยต้องเผชิญกับทางเลือกของการเลิกจ้างที่เป็นอันตราย ผิดกฎหมาย และหน่วยงานรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมใต้ดิน
ต้องมารอดูกันว่า The Girl With the Needle จะไปได้ไกลเท่าใดในออสการ์ครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาเดนมาร์กมีประวัติที่โดดเด่นมากในรางวัลออสการ์สาขานี้ โดยได้รับรางวัลถึง 4 ครั้ง ล่าสุดในปี 2021 กับ “Another Round” และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 14 ครั้ง ล่าสุดในปี 2022 กับ “Flee”
I’m Still Here (บราซิล)
I’m Still Here’ ภาพยนตร์จากบราซิล โดยผู้กำกับ “Walter Salles” (วอลเตอร์ เซลส์) เจ้าของผลงานที่ประความสำเร็จระดับนานาชาติอย่าง “Central Station” Station ในปี 1998
ครั้งนี้ Walter Salles มาพร้อมเรื่องราวอันทรงพลัง เกี่ยวกับ 21 ปี (ค.ศ.1964 – 1985) แห่งการปกครองแบบเผด็จการทหารในบราซิล ซึ่งไม่บ่อยนักที่จิตวิญญาณการประท้วงต่อต้านความน่าสะพรึงกลัวของการปกครองเผด็จการทหารจะถูกมองผ่านเลนส์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวจริงของครอบครัว “Paiva” หลังจากที่ “รูเบนส์ ไพวา” (Rubens Paiva) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกจับตัวไปจากบ้านในริโอเดจาเนโร เมื่อปี 1971 และไม่เคยถูกพบเห็นอีกเลย ซึ่งผู้กำกับ Walter Salles ได้พบกับครอบครัวนี้ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และใช้เวลาด้วยกันในวัยเด็กของเขา
ทั้งนี้ “Fernanda Torres” (เฟร์นันดา ตอร์เรส) ผู้รับบท “Eunice Paiva” ภรรยาของ Rubens Paiva เพิ่งได้รับรางวัล Best Performance by a Female Actor in a Motion Picture – Drama จากเวทีประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 82 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแสดงหญิงชาวบราซิลคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้
Kneecap (ไอร์แลนด์)
“Kneecap” กำกับโดย “Rich Peppiatt” (ริช เป๊ปเปียตต์) เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของสามหนุ่มฮิปฮอปไอริช ซึ่งชื่อวง Kneecap ที่มีอยู่ในชีวิตจริงถูกนำมาใช้เป็นชื่อหนัง พร้อมแฝงอุดมการณ์อนุรักษ์ภาษาถิ่นไอริช
Kneecap เปิดตัวครั้งแรกใน Sundance Film Festival เมื่อเดือนมกราคม และได้รับรางวัล Audience Award: NEXT ของเทศกาล และยังกวาด 7 รางวัลที่ British independent film awards
สำหรับไอร์แลนด์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในปี 2023 จากเรื่อง “The Quiet Girl” โดย The Hollywood Reporter ระบุว่า ไม่แน่ภาพยนตร์เรื่อง Kneecap อาจจะทำสำเร็จเป็นครั้งแรกขงประเทศก็ได้
Santosh (สหราชอาณาจักร)
“Santosh” กำกับโดย “Sandhya Suri” (สันธยา ซูริ) เป็นภาพยนตร์จากสหราชอาณาจักร ที่เล่าถึงเรื่องราวในประเทศอินเดีย เดินเรื่องโดย Santosh (รับบทโดย Shahana Goswami) หญิงม่ายชาวฮินดูผู้สืบทอดงานของสามีในอาชีพตำรวจทางตอนเหนือของอินเดีย และพบว่าตัวเองติดอยู่กับการทุจริตในองค์กร และเธอต้องทำงานร่วมกับนักสืบในคดีฆาตกรรมอันโหดร้ายที่เกี่ยวข้องกับเด็กสาววัยรุ่นจากวรรณะต่ำ
โดยเรื่องนี้ ผู้กำกับสามารถเล่าเรื่องที่เป็นกันเองและเรียบง่ายได้อย่างชาญฉลาด ด้วยรายละเอียดที่แสดงถึงความเป็นจริงทางการเมืองของอินเดีย
ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์สาขานี้เลย จนกระทั่งปีที่แล้ว “The Zone Of Interest” ทำได้สำเร็จ โดยก่อนหน้านี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมา 2 ครั้ง และทั้ง 2 เรื่องเป็นภาษาเวลส์
The Seed of the Sacred Fig (เยอรมนี)
แม้จะเป็นหนังจากเยอรมนี ที่มาที่ไปของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะ “Mohammad Rasoulof” (โมฮัมหมัด ราซูลอฟ) ผู้กำกับชาวอิหร่าน ต้องเดินทางออกนอกประเทศมายังทวีปยุโรป หลังถูกศาลพิพากษาในฐานะนักโทษทางการเมืองที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล
โดย Mohammad Rasoulof ต้องพยายามทำหนังที่บอกเล่าเรื่องราวออกมาจากภายในของอิหร่าน ภายใต้การถูกสั่งห้าม การถูกสอบปากคำจากเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ทันทีที่ The Seed of the Sacred Fig ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ Mohammad Rasoulof ก็ถูกตั้งข้อหาเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศทันที ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รางวัล Special Jury Prize มาจากเทศกาลด้วย
ทั้งนี้ The Seed of the Sacred Fig เล่าเรื่องผ่านครอบครัวชาวอีหร่าน โดยมี Iman เป็นหัวหน้าครอบครัว และมีอาชีพเป็นผู้พิพากษา ในช่วงเกิดการประท้วงเมื่อปี 2022 ต่อกรณีที่สตรีที่ไม่ยอมสวมฮิญาบถูกตำรวจจับกุมและเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้
Touch (ไอซ์แลนด์)
Touch เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกจากไอซ์แลนด์ กำกับโดย “Baltasar Kormákur” (บัลทาซาร์ คอร์มาเกอร์) ซึ่งเขียนบทร่วมกับ “Ólafur Jóhann Ólafsson” (โอลาฟือร์ โยฮันน์ โอลาฟส์สัน) โดยดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ “Touch” ในปี 2022 ของ Ólafur Jóhann Ólafsson
Touch เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งชื่อ “Kristófer” ที่พยายามค้นหารักแรกของเขาที่หายตัวไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งเธอชื่อ “Miko” ทำให้ Kristófer ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อตามหาเธอในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยเหตุการณ์ในเรื่องจะเล่าไป2 ช่วงเวลา คือช่วงปี 1965 กับยุคปัจจุบัน
Universal Language (แคนาดา)
Universal Language เป็นภาพยนตร์ตลก “Matthew Rankin” (แมทธิว แรนคิ่น) กำกับโดย เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองวินนิเพก รัฐแมนิโทบา ประเทศแคนาดา แต่กลับมีภาษาฝรั่งเศสและฟาร์ซีเป็นภาษาราชการของแคนาดา ซึ่งภาษาฟาร์ซีเป็นภาษาทางการที่ใช้ในประเทศอิหร่าน
The Hollywood Reporter ระบุว่า Universal Language อาจเป็นภาพยนตร์ตลกแนวทดลองที่น่าแปลกประหลาด นอกจากนี้การที่ผู้กำกับนำแสดงร่วมกับนักแสดงท้องถิ่นที่พูดภาษาฟาร์ซีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทำให้อธิบายค่อนข้างยาก
Vermiglio (อิตาลี)
Vermiglio เป็นภาพยนตร์จากอิตาลี กำกับโดย “Maura Delpero” (มอร่า เดลเปโร) เป็นเรื่องราวในปี 1944 ของทหารซิซิลีคนหนึ่งที่ละทิ้งกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ชื่อ Vermiglio บนเทือกเขาแอลป์อันห่างไกล และได้พบรักกับหญิงสาวในหมู่บ้านนั้น
แม้สงครามโลกครั้งที่สองกำลังลุกลามไปทั่วยุโรป แต่ไม่มีเสียงปืนในหมู่บ้านอันห่างไกลนี้ ทำให้วิถีชีวิตยังดำเนินต่อไปเหมือนที่เคยเป็นมาหลายร้อยปี แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยก็ตาม
โดย Maura Delpero ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติครอบครัวของเธอเองสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ Vermiglio ก็มีดีกรีไม่ธรรมดาเช่นกัน ได้รับรางวัล Grand Jury Prize ประจำปี 2024 จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิส
Waves (สาธารณรัฐเช็ก)
Waves จากสาธารณรัฐเช็ก กำกับโดย “Jirí Mádl” (จิริ มาเดิล) เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวประวัติศาสตร์ โดยสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1960 ณ กรุงปราก โดยเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มนักข่าวที่มุ่งมั่นจะเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นอิสระ ในช่วงที่โซเวียตบุกยึดครองในเหตุการณ์ “Prague Spring”
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ของJirí Mádl ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านอย่างสโลวาเกีย โดยทำรายได้ไป 7 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดทั้งสองแห่ง
From Ground Zero (ปาเลสไตน์)
From Ground Zero จากปาเลสไตน์ เรียกได้ว่าแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาสู่รอบนี้เช่นกัน เพราะเป็นการรวบรวมภาพยนตร์สั้น 22 เรื่อง จากสถานการณ์ในฉนวนกาซาท่ามกลางสงครามที่กำลังดำเนินอยู่กับอิสราเอล โดยโครงการนี้เกิดจากกองทุนภาพยนตร์ฉนวนกาซาของ “Rashid Masharawi” (ราชิด มาชาราวี) ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวปาเลสไตน์
นับเป็นครั้งแรกที่ปาเลสไตน์อยู่ในรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์ นับตั้งแต่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในปี 2014 และปี 2006
ที่มา : The Hollywood Reporter, Screen Daily