
ชวนทำความรู้จัก ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ในหลวงพระราชทานชื่อ “วชิรสถิต” และ “วชิรธำรง” หัว-ท้ายมังกร 2 แลนด์มาร์กใหม่เยาวราช รัฐบาลจีนร่วมฉลอง 50 ปี สัมพันธ์ทางการทูต มอบประติมากรรมมงคลหินอ่อนหยกสีขาวแกะสลักเป็นรูปช้างและสิงโตประดิษฐานที่ฐานเสาซุ้มประตู-ในหลวง พระราชินี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานเปิดวันเสาร์ที่ 25 มกราคมนี้
“เยาวราช” มีความโดดเด่นในฐานะย่านที่หลอมรวมวัฒนธรรมไทย-จีนอย่างกลมกลืน อีกทั้งยังเป็นหัวใจสำคัญการท่องเที่ยวที่สามารถสัมผัสได้ทั้งความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และความร่วมสมัย ตลอดจนเป็นที่ยอมรับในฐานะ “เมืองแห่งสตรีตฟู้ด” ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยอาหารที่หลากหลาย รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และความประณีตในการปรุง ซึ่งล้วนสะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน
เร็ว ๆ นี้ เยาวราชกำลังจะมีงานใหญ่ “ปีมะเส็งมหามงคล อุดมโชคลาภ” ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 พร้อมด้วยวาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 29-30 มกราคมนี้
ที่สำคัญ เยาวราชยังมีแลนด์มาร์กแห่งใหม่ นั่นคือ “ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗” ซึ่งประกอบด้วย “ซุ้มประตูวชิรสถิต ๗๒ พรรษา” และ “วชิรธำรง ๗๒ พรรษา” ซึ่งสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (สสธวท) ผนึกกำลังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดสร้างขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
“คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล” ประธานสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (สสธวท) กล่าวถึงที่มาของการจัดสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ซึ่งกำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่อันงดงามที่อยู่เคียงคู่บนแผ่นดินไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ว่า
เริ่มแรกตั้งใจทำงานกาล่าดินเนอร์เบญจกตัญญุตา แต่ควรต่อยอดอะไรได้บ้าง เลยคิดว่าน่าจะมีถาวรวัตถุสร้างเฉลิมพระเกียรติในวาระมหามงคลนี้ จึงได้ไปกราบนมัสการท่านเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส พร้อมกับขอคำแนะนำว่า นอกเหนือจากการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและท้องถิ่นด้วย ประกอบกับได้รับความเห็นพ้องของคณะสมาชิกสมาพันธ์และเครือข่าย
จึงเป็นที่มาของการจัดงานกาล่าดินเนอร์ “เบญจกตัญญุตา” ภายใต้โครงการ “สสธวท รวมใจเทิดเอกลักษณ์แห่งปัญจมังกร จารึกความกตัญญูต่อแผ่นดิน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสดังกล่าว พร้อมระดมทุนสำหรับเริ่มโครงการที่สอง คือการจัดสร้าง “ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา” 2 แลนด์มาร์กใหม่บนถนนเจริญกรุง ภายใต้องค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชสมภพในปีมังกร, ในปี 2567 ตรงกับปีนักษัตรมังกร, มังกร หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน, พระคณาจารย์จีน ธรรมวชิรานุวัตร (เย็นงี้) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส เป็นที่ปรึกษา และถนนเจริญกรุง เป็นถนนสายแรกของประเทศไทย ถือว่าเป็นถนนสายมังกร ดังนั้นจึงได้ครบ 5 มังกรที่จะถวายพระมหาจักรพรรดิของเรา
นอกจากนี้ คุณหญิงณัฐิกายังเผยถึงเหตุผลที่ต้องมีซุ้มประตู 2 แห่งว่า ตอนแรกเล็งพื้นที่ตรงบริเวณห้าแยกหมอมี เพราะคิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ได้รับคำแนะนำจากพระคณาจารย์จีน ธรรมวชิรานุวัตร (เย็นงี้) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส ว่า มีหัวมังกรต้องมีท้ายมังกรจึงจะครบ โดยเฉพาะตรงที่บริเวณห้าแยกหมอมี ซึ่ง 5 แยก ก็เหมือน 5 เล็บมังกร และมังกร 5 เล็บ มีความหมายว่า “จักรพรรดิ”
ในการนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อส่วนหัวมังกรอยู่ที่สะพานดำรงสถิต นามว่า “วชิรสถิต ๗๒ พรรษา” หมายถึง ซุ้มประตูนี้เป็นเอกลักษณ์แสดงถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุยั่งยืน 72 พรรษา ส่วนที่ห้าแยกหมอมีพระราชทานนามว่า “วชิรธำรง ๗๒ พรรษา” หมายถึง ซุ้มประตูนี้เป็นเอกลักษณ์จารึกการเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยในอภิมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ความยิ่งใหญ่ของโครงการจัดสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สัญลักษณ์แห่งความกตัญญู และความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งความเจริญที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนผู้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถจัดสร้างสำเร็จเรียบร้อยได้ระยะเวลาเพียง 8 เดือน ด้วยพระบารมีและบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การดำเนินงานทุกขั้นตอนผ่านไปได้อย่างราบรื่น พร้อมด้วยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับการออกแบบก่อสร้างซุ้มประตูทั้ง 2 แห่ง เป็นรูปแบบซุ้มประตูที่มีธรรมเนียมการก่อสร้างแบบพระราชนิยมของราชวงศ์จีนตอนเหนือ ซึ่งพระคณาจารย์จีน ธรรมวชิรานุวัตร (เย็นงี้) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส ได้มอบแนวคิดในการออกแบบ บางส่วนจะเป็นลายไทยออกแบบให้ผสมผสานและแสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยโดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
พร้อมกันนี้ เนื่องในโอกาสความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ในปี 2568 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านทางสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้แสดงออกถึงมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูต ด้วยการได้มอบประติมากรรมมงคลจากหินฮั่นไป๋หวี่ (หินอ่อนหยกสีขาว) ซึ่งเป็นหินชนิดพิเศษของจีน ที่ใช้เฉพาะในพระบรมมหาราชวังจีนเท่านั้น รังสรรค์โดยศิลปินชาวจีน แกะสลักเป็นรูปช้าง สิงโต เป็นตัวแทนประเทศไทยและจีน และกลอง เพื่อประดิษฐานที่ฐานเสาซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯด้วย
สำหรับพิธีเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ทางคณะกรรมการผู้จัดทำโครงการได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานเปิดซุ้มประตู วชิรสถิต ๗๒ พรรษา บริเวณสะพานดำรงสถิต และซุ้มประตูวชิรธำรง ๗๒ พรรษา บริเวณห้าแยกหมอมี ในวันเสาร์ที่ 25 มกราคม 2568 เวลา 17.00 น. ณ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร
แสตมป์ที่ระลึก
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดทำแสตมป์เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ โดยออกจำหน่าย 2 ชุด ได้แก่ แสตมป์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำหน่ายวันที่ 28 ม.ค. 68 และแสตมป์ที่ระลึกซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา จำหน่ายวันที่ 25 ม.ค. 68
โดยแสตมป์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีมหามงคลสมัย โดยได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ บนพื้นหลังสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ ประกอบตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ พร้อมเทคนิคการพิมพ์พิเศษปั๊มดุนนูนบริเวณตราสัญลักษณ์ดังกล่าว พร้อมซิลก์สกรีนกลิตเตอร์สีทอง บริเวณฉลองพระองค์
ส่วนแสตมป์ที่ระลึกซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มีด้วยกัน 4 แบบ นำเสนอภาพด้านหน้า-หลังซุ้มประตูทั้ง 2 ซุ้ม แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นด้วยศิลปะแบบจีนภาคเหนือ ฐานซุ้มเป็นฐานปัทม์ ออกแบบโดยกรมศิลปากร และเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีที่ยั่งยืนมาตลอด 50 ปี