
ตรุษจีน 2568 ปักหมุด 9 ศาลเจ้าและวัดจีน ทั่วกรุงเทพมหานคร ไหว้ขอพร ทำบุญเสริมดวง แก้ชง รับโชคลาภ ความเป็นสิริมงคล
ตรุษจีนถือเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวจีนทั่วโลก และชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยประเพณี พิธีกรรม ที่มีความหมายเชื่อมโยงกับโชคลาภ และความเป็นสิริมงคล
โดยเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 ตรงกับวันที่ 29 มกราคม ซึ่งวันจ่าย ตรงกับวันที่ 27 มกราคม, วันไหว้ ตรงกับวันที่ 28 มกราคม และวันเที่ยว ตรงกับวันที่ 29 มกราคม ตามลำดับ
นอกจากจะจับจ่ายซื้อของกันในวันจ่าย เพื่อนำมาสักการะเทพเจ้าและบรรพบุรุษในวันไหว้แล้ว อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นอะไรดี ๆ รับปีใหม่ ผู้คนมักเดินทางไปทำบุญ ไหว้พระและเทพเพจ้าขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสริมโชคลาภ บารมี และความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ตลอดจนการแก้ชง ให้ตัวเองเเคล้วคลาดปลอดภัยตลอดปีตลอดไป
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวม 9 วัดและศาลเจ้าจีน ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร เสริมดวงชะตา แก้ชง และขอโชคลาภ รับตรุษจีน 2568

วัดมังกร เยาวราช
“วัดมังกร” หรือ “วัดเล่งเน่ยยี่” ตั้งอยู่ในย่านเยาวราชแหล่งชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน โดดเด่นเรื่องการทำบุญแก้ปีชง ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2414 ลักษณะสถาปัตยกรรมจีนตอนใต้ของสกุลช่างแต้จิ๋ว มีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ด้านหลังเป็นวิหารเทพเจ้า
วิหารท้าวโลกบาลมีเทวรูปเทพเจ้า 4 องค์ในชุดนักรบจีนถืออาวุธ ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “ซี้ไต๋เทียงอ้วง” หมายถึงเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองทิศทั้ง 4 ทิศ
สำหรับอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานของวัด คือ พระโคตมพุทธเจ้า, พระอมิตาภพุทธะ และพระไภษัชยคุรุพุทธะ หรือ “ซำป้อหุกโจ้ว” พร้อมพระอรหันต์อีก 18 องค์ ที่เรียกว่า “จับโป๊ยหล่อหั่ง”
นอกจากนี้ ยังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์รวมทั้งหมดกว่า 58 องค์ อาทิ ไท้ส่วยเอี๊ยะ เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา, เทพเจ้าแห่งยา, หั่วท้อเซียงซือกง, ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ, ไต่เสี่ยหุกโจ้ว เทพเจ้าเฮ่งเจีย, ปู๊กุ่ยหุกโจ้ว พระเมตไตรยโพธิสัตว์, พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์, แป๊ะกง และแป๊ะม่า เป็นต้น

ศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง ทรงวาด
“ศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง” ตั้งอยู่ที่ถนนทรงวาด เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ชาวจีนในสมั้ยรัชกาลที่ 3 ได้รวมตัวกันเชิญองค์เทพ “เล่าปุนเถ้ากง” มาจากประเทศจีน เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2367 ดังนั้น ปัจจุบันศาลเจ้าจึงมีอายุเกิน 200 ปีแล้ว
เล่าปุนเถ้ากงเป็นศาลเจ้าที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม ลักษณะอาคาร การแกะลาย เป็นสกุลช่างจีนแต้จิ๋ว เสาในศาลเจ้าเป็นรูปทรงเหมือนเม็ดข้าว อาคารเป็นแบบ “ซี้เตี๋ยมกิม” หรือ 4 ตำแหน่งทองคำ
ประกอบด้วยด้านหลังคือ เต่าดำ อยู่ตรงเท้าขององค์เทพ, มังกรเขียว ด้านซ้าย, เสือขาว ด้านขวา และด้านหน้าคือ หงส์แดง เป็นทิศของ “ตี่ลี่ฮวงจุ้ย” เล่าปุนเถ้ากงจึงมีฮวงจุ้ยโดดเด่น ไม่อับ สะอาดสะอ้าน ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ใครเข้ามากราบไหว้ก็จะได้รับพลังที่ดี
ศาลแห่งนี้มีองค์ประธาน คือ “เทพเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่” หรือเทพตั่วเหล่าเอี๊ยกง ชาวจีนย่านนี้เชื่อกันว่าโดดเด่นเรื่องการงานและทำมาค้าขาย ส่วนเทพ “เล่าปุนเถ้ากง” โดดเด่นทุกเรื่อง เป็นเทพปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ ถามและขอได้ทุกเรื่องตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ศาลนี้มีเทพเล่าปุนเถ้ากงอยู่ 2 องค์ องค์แรกทรงอิริยาบถยืน อัญเชิญมาจากจีนตั้งแต่ 200 ปีก่อน คนจีนเสื่อผืนหมอนใบเดินทางโดยที่ไม่รู้ว่าต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง เทพที่เชิญมาต้องประทับยืนพร้อมที่จะฝ่าฟันทุกอย่าง ส่วนอีกองค์เป็นอิริยาบถนั่ง เครื่องทรงขุนนางจีนถือคทายู่อี่ ถือก้อนทอง สร้างในยุคหลังเมื่อ พ.ศ. 2525 สื่อว่า ผู้สร้างมีเงินแล้ว ร่ำรวยแล้ว
ถือเคล็ดกันว่า ถ้าจะเริ่มธุรกิจ หรือบุกเบิกอะไรใหม่ ๆ ให้ไหว้องค์เดิมที่ประทับยืน แต่ถ้าขอโชคลาภให้มาขอองค์ประทับนั่ง

วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)
“วัดทิพยวารีวิหาร” หรือ “กัมโล่วยี่” เดิมชื่อ “กามโล่ตื่อ” ตั้งอยู่ที่ซอยทิพยวารี ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ภายในวัดมีบ่อน้ำโบราณ หรือที่เรียกกันว่า “บ่อน้ำทิพย์” ซึ่งอยู่คู่กับวัดมาอย่างยาวนานตั้งแต่แรก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดทิพยวารีวิหาร ประกอบไปด้วยพระประธาน 3 องค์ ได้แก่ พระศากยมุนี, พระไภษัชยคุรุ และพระอมิตาภะ นอกจากนี้ ที่ทุกคนต้องมากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อมังกรเขียว” และ “เทพเปลี่ยนดวง” โดยเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกปักรักษาน้ำทิพย์ประจำวัด มีพลัง ช่วยคุ้มครองชะตา และเสริมบารมีด้วย
สำหรับประวัติของวัดทิพยวารีวิหารนั้น สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งพระนคร) ให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวญวน วัดกัมโล่วยี่แต่เดิมจึงเป็นวัดญวนมาก่อน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวญวนได้ออกไปจากพื้นที่ ชุมชนดังกล่าวจึงกลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของคนไทยและคนไทยเชื้อสายแทน ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดร้าง
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 พระอาจารย์ไหซัน (พระธรรมรสจีนศาสน์ ปลัดสงฆ์จีนนิกาย) พระภิกษุชาวหูหนาน ได้เข้ามาพำนักที่วัดซึ่งร้างอยู่ ก่อนเชิญชวนให้คหบดีชาวจีนที่ค้าอยู่แถบนั้นช่วยกันบูรณะใน พ.ศ. 2449 จนเมื่อแล้วเสร็จจึงเรียกชื่อใหม่ว่า “กัมโล่วยี่” ส่วนชื่อไทยนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงช่วยคิดนามถวายว่า “ทิพยวารี” ซึ่งมีที่มาจากบ่อน้ำทิพย์ที่อยู่คู่กับวัด

ศาลเจ้ากวนอู คลองสาน
ศาลเจ้ากวนอู แห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร โดยมีจุดเริ่มต้นจากชาวจีนฮกเกี้ยนได้อัญเชิญรูปปั้นเทพเจ้ากวนอูมาประทับในศาลเจ้าแห่งนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เมื่อ พ.ศ. 2279
ภายในศาลมีเทพเจ้ากวนอู 3 องค์ ประดิษฐานอยู่ ประกอบด้วย องค์เล็ก นำมาประดิษฐาน พ.ศ. 2279 ต่อด้วยองค์กลาง นำมาประดิษฐาน พ.ศ. 2345 และองค์ใหญ่ นำมาประดิษฐาน พ.ศ. 2365
เชื่อกันว่าการมาสักการะขอพร ศาลเจ้ากวนอูที่คลองสาน จะช่วยเรื่องการงาน การเปิดกิจการ คดีความ การค้าขายที่ดิน ตลอดจนโชคลาภต่าง ๆ

เจ้าแม่กวนอิม มูลนิธิเทียนฟ้า
มูลนิธิเทียนฟ้าเป็นมูลนิธิแห่งแรกในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2445 โดยการรวมตัวกันของกลุ่มชาวจีน เพื่อประสงค์ที่จะช่วยผู้ป่วยยากไร้ โดบปัจจุบันมีโรงพยาบาลรักษาทั้งแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน ชาวจีนย่านเยาวราชเรียกที่นี่ว่า “เทียนฮั้วอุยอี่”
สถานที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดไตรมิตรวิทยาราม และวงเวียนโอเดียน
มูลนิธิมูลนิธิเทียนฟ้ามีศาลเจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปางประทานพร ทำด้วยไม้จันทน์แกะสลัก รูปแบบศิลปะราชวงศ์ถัง ประดิษฐานเป็นเทพเจ้าองค์ประธาน ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและมีสุขภาพแข็งแรง
สันนิษฐานว่าองค์เจ้าแม่กวนอิมสร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์ซ่ง (ประมาณ 800-900 ที่แล้ว) จนกระทั่งใน พ.ศ. 2501 ได้ถูกอัญเชิญจากประเทศจีนและมาประดิษฐานอยู่ที่เยาวราชจนปัจจุบัน

ศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง
“ศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง” ตั้งอยู่ในซอยจุฬาลงกรณ์ 9 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเป็นเทพแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง ผู้คนจึงนิยมกันขอเรื่องงาน ธุรกิจ และความรัก
ศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยครอบครัวของ “นายจู๋ แซ่ตั้ง” เล่ากันว่าอยู่มาวันหนึ่งพี่ชายของนายจู๋ (ไม่ทราบนาม) เดินเลียบคลองบางรักออกไปทำงานตามปกติและได้สังเกตเห็นวัตถุบางอย่างลอยทวนน้ำมาหยุดในจุดที่เป็นน้ำวน แต่ก็ไม่ได้สนใจหลายวันผ่านไปวัตถุนั้นก็ยังคงลอยวนที่เดิมเมื่อลงไปเก็บจึงพบว่าเป็นองค์เจ้าแม่ทับทิมแกะสลักด้วยไม้จึงอัญเชิญมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน
ต่อมาจึงส่งมอบให้นายจู๋ที่ทำกิจการเลี้ยงเป็ดซึ่งกำลังเติบโตได้ดีและพอมีที่มีทาง เมื่อนายจู๋ได้รับมาเห็นว่าควรจัดสถานที่บูชาให้เหมาะสม จึงสร้างศาลเป็นเพิงเล็ก ๆ ให้องค์เจ้าแม่ทับทิมประทับ หลังจากชาวบ้านในละแวกก็มาทำการกราบไหว้ เมื่อประสบความสำเร็จตามที่บนบานไว้ก็เกิดความนับถือและเป็นที่เลื่องลือต่อกันมา ชาวบ้านในย่านปทุมวันจึงร่วมกันสร้างศาลใหญ่ถาวรขึ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ศาลเจ้าไต้ฮงกง
“ศาลเจ้าไต้ฮงกง” ตั้งอยู่บนถนนพลับพลาไชย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2452 ชาวจีนที่อพยพมาเมืองไทยได้อัญเชิญรูปเคารพของ “หลวงปู่ไต้ฮงกง” มาด้วย
ตามประวัติกล่าวไว้ว่า หลวงปู่ไต้ฮงกง เกิดที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง เมื่อ พ.ศ. 1582 สมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นภิกษุชาวจีนที่ช่วยเหลือชาวบ้านตลอดจนเก็บศพผู้ยากไร้ไปฝังโดยไม่รังเกียจ จนกระทั่งลูกหลานชาวจีนที่ศรัทธาสานต่อปณิธานกันมาเป็น “มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง” ที่รู้จักกันในปัจจุบัน
สำหรับผู้ที่มากราบไหว้บูชา มักจะขอพรเรื่องสุขภาพ ให้ร่างกายแข็งแรง การงานประสบความสำเร็จ ตลอดจนขอเรื่องโชคลาภ

ศาลเจ้าแม่ประดู่ เยาวราช
ศาลเจ้าแม่ประดู่ เยาวราช ตั้งอยู่ที่ซอยเยาวพานิชแขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ผู้คนส่วนใหญี่ที่มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้มักจะขอพรเรื่องความรักตลอดจนการขอเรื่องบุตรก็เป็นที่นิยม
นอกจากเจ้าแม่ประดู่แล้ว ยังมีองค์เทพอื่น ๆ ให้กราบไหว้ขอพรด้วย ทั้งเจ้าพ่อเสือ และเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย เป็นต้น โดยศาลเจ้าแม่ประดู่มีอายุเก่าแก่กว่า 170 ปีแล้ว เล่ากันว่า ในอดีตมีชาวบ้านพบเห็นรูปปั้นเจ้าแม่ประดู่ลอยน้ำมา จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้

ศาลเจ้าพ่อเสือ เสาชิงช้า
“ศาลเจ้าพ่อเสือ” มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เดิมตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ขยายถนนบำรุงเมือง และให้พระยาโชฎีกราชเศรษฐีย้ายศาลมาไว้ที่ทางสามแพร่ง ถนนตะนาว จนถึงปัจจุบัน
ลักษณะอาคารของศาลเจ้าพ่อเสือสร้างตามรูปแบบศาลเจ้าที่นิยมทางภาคใต้ของจีน ตกแต่งด้วยโบราณวัตถุ ซึ่งบางชิ้นมีอายุกว่า 100 ปี ประดิษฐานเทพเจ้าประจำศาล คือ “เสียนเทียนซั่งตี้” หรือ “เจ้าพ่อเสือ”
สำหรับการสร้างศาลประดิษฐานรูปเสือนั้น เป็นการนำเอากระดูกเสือบรรจุในแท่น และอัญเชิญดวงวิญญาณเสือขอให้ปกปักรักษาประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข
นอกจากนี้ภายในศาล ยังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์ อาทิ เจ้าพ่อกวนอู และเจ้าแม่ทับทิม ผู้คนต่างแวะเวียนมาที่แห่งนี้เพื่อกราบไหว้เสริมอำนาจบารมี ขอพรเรื่องงาน ขอลูก หรือแก้ชง