ร้านศรณ์-หมูเด้ง ของดีประเทศไทย ดันซอฟต์พาวเวอร์สู่เวทีโลก

น.สพ.วันชัย ตันวัฒนะ-ศุภักษร จงศิริ
น.สพ.วันชัย ตันวัฒนะ-ศุภักษร จงศิริ

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ณ Ballroom 1 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ “มติชน” จัดงานสัมมนา “Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย” เวทีหนึ่งในงานนี้ คือ เสวนา “เชื่อมั่นของดีไทย ดันซอฟต์พาวเวอร์ไกลสู่เวทีโลก” โดย “น.สพ.วันชัย ตันวัฒนะ” รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย “เชฟไอซ์-ศุภักษร จงศิริ” จากร้านศรณ์ (Sorn) เจ้าของรางวัลมิชลิน 3 ดาว ร้านแรกในประเทศไทย และนายอธิกร ศรียาสวิน เป็นผู้ดำเนินรายการ

ความสำเร็จร้านศรณ์-รอยยิ้มคือซอฟต์พาวเวอร์

เชฟไอซ์ เผยถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองว่า ไม่ใช่แค่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำร้านอาหาร แต่เติบโตมาในร้านอาหารเลย นั่นคือ ร้าน “บ้านไอซ์” เป็นตึกแถวในย่านประชาชื่น ใกล้กับบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ทำให้ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่นรอบ ๆ บ้าน จึงต้องวิ่งเล่นในครัว

ศุภักษร จงศิริ
ศุภักษร จงศิริ

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ จะมีเวลาเรียนและเวลาเล่นน้อยกว่าเวลาทำงาน เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤตฟองสบู่แตก ทำให้ต้องทำอาหารเพื่อเอาตัวรอดในต่างประเทศ “ยุคสมัยนั้นไม่มีคำว่า เชฟ มีแต่ กุ๊ก ซึ่งพ่อแม่ไม่ให้เรียนแน่นอน แม้จะอยากเรียนก็ตาม”

เมื่อกลับมาจากต่างประเทศ ก็มาสานต่อธุรกิจร้านอาหารบ้านไอซ์ เนื่องจากคุณย่า (สัจจารี จงศิริ) มีอายุมากแล้ว ถึงจุดหนึ่งแม้ยังอยากทำอาหารอยู่ แต่ต้องรันธุรกิจไปด้วย จึงอยากเบรกดาวน์ ทำให้ลงไปเรียนรู้ ไปอยู่กับชาวนา ชาวไร่ ชาวประมง และร้านอาหารเก่า ๆ ที่ภาคใต้ของประเทศไทย

“รู้สึกเหมือนเราไม่ได้ทำอาหาร ตอนนั้นไปบ้านภรรยา เห็นอาม่าภรรยาแบกผักกระเฉด มีเตาถ่าน และเครื่องปรุงนิดหน่อย อาม่าทำผัดหมี่กระเฉด อร่อยมาก จึงคิดว่าต่างจากย่าเรา เพราะย่าเราทำร้านอาหาร แต่อาม่าภรรยาคือความรักและเวลาที่ให้กับอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปกับที่เราทำมา…อาม่าไม่สนใจด้วยว่าลูกหลานจะกินหรือไม่ แต่ทำไว้เผื่อหลานหิว จึงสัมผัสได้ว่าความรักกับเวลาที่ขาดหายไป”

ตอนนั้นแผนการก่อตั้งร้านศรณ์เริ่มเป็นเค้าโครงขึ้นมา เพราะมีวัตถุดิบที่มาไม่ถึงกรุงเทพฯ และขายที่บ้านไอซ์ไม่ได้ ด้วยวิธีทำที่ลำบาก ประกอบกับต้องการความรักและเวลาที่ให้กับอาหาร จากนั้นภรรยาก็ตั้งครรภ์พอดี จึงตั้งชื่อร้านศรณ์เป็นชื่อเดียวกับชื่อลูกตัวเอง

ADVERTISMENT

ร้านศรณ์จึงเริ่มจากการหลงรักและโหยหาในสิ่งที่เราทำ เหมือนการรักใครสักคนและอยากรู้จักเขามากขึ้น จึงลงไปภาคใต้เพื่อค้นหาสิ่งต่าง ๆ และสิ่งที่เห็นทั้งการทำพริกแกง การคั้นกะทิ ก็พบว่าไม่สามารถเจอได้อีกแล้วในกรุงเทพมหานคร

การลงไปอยู่ภาคใต้ 2 ปี เพื่อเรียนรู้และไปอยู่กับคนในพื้นที่ หลายอย่างที่ค้นพบ ทำให้กลั่นกรองรวมกันเป็น ร้านศรณ์ “ตัวผมไม่ได้เรียนจบด้านอาหาร แต่พอรู้ว่ารักก็ต้องไปเรียนโดยตรงเลย และต้องหาความรู้มากกว่าปกติ เป็นความหลงใหลในสิ่งที่ทำ ถ้าทำได้ดี เราก็จะรู้สึกดี อาชีพทำอาหารคือการทำให้คนมีความสุข เป็นอาชีพที่ดีที่สุดแล้ว ทำให้เขาท้องอิ่ม และเราแฮปปี้” เชฟไอซ์กล่าว

ADVERTISMENT

ร้านศรณ์ยังใช้วิธีดั้งเดิมในการทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้มือคั้นกะทิ การตำพริกแกงด้วยครก การใช้เตาถ่านหุงข้าว ความแตกต่างของร้านศรณ์ คือ รสชาติ วัตถุดิบ และที่สำคัญ คือ ความรัก ความจริงใจ ความรู้สึกที่ใส่ไปในอาหาร จะมีความอบอุ่นและความรัก

ใน 1 วัน ร้านศรณ์รับแขกจำนวน 40 คน ผ่านการเปิดจองเดือนต่อเดือน ซึ่งมีลูกค้าประจำที่สนับสนุนร้านมาตั้งแต่วันที่ยังไม่มีอะไร เมื่อก่อนไม่ต้องจอง แต่ตอนนี้ต้องจอง ทางร้านจึงต้องโทร.ถามก่อนว่าเดือนนี้อยากมาหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครปล่อยที่นั่ง

“ตัวผมเองอยากทำให้คนไทยอร่อยก่อน ไม่ใช่ต่างชาติมาจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ เราจะรับแต่ต่างชาติ แล้วรวยสบายไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำอาหารไทยให้คนไทยอร่อยก่อน ทำให้ลูกค้าไทยเยอะ ขณะที่นักท่องเที่ยวก็เยอะ เมื่อเราได้รางวัลต่าง ๆ มา”

ส่วนนักท่องเที่ยวที่มา ชอบเรื่องราวที่ศรณ์นำเสนอ ทั้งเรื่องวัตถุดิบและสิ่งที่ไปพบเจอมาล้วนเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง โดยมีไฮไลต์เป็นข้าว กับข้าว เครื่องเคียง และผักแบบไทย ๆ ซึ่งต้องเเชร์กันบนโต๊ะ ไม่ใช่อาหารจานเดี่ยวแบบตะวันตก

“ความสำเร็จของร้านศรณ์ คงเป็นความซื่อสัตย์กับอาหาร ความตั้งใจกับอาหาร และทุกคนที่คิดแบบเดียวกัน มีความรักต่ออาหาร รักลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านหรือหลังร้าน เราไม่เคยหลอกใคร และไม่เคยหลอกตัวเอง”

เชฟไอซ์กล่าวถึงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า ในฐานะคนทำอาหาร และทำได้เฉพาะอาหารใต้ แต่แค่อาหารใต้ยังมาได้ไกลขนาดนี้ ยังมีอีกหลายภาคที่น่าค้นให้ ซึ่งร้านศรณ์จะไม่ใช่ 3 ดาวมิชลิน ร้านสุดท้ายแน่นอน แค่วัฒนธรรมภาคใต้ภาคเดียวยังมีพลังขนาดนี้

“รอยยิ้มสยาม” คือ ซอฟต์พาวเวอร์ จากประสบการณ์ตรงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่พนักงานต้องใส่แมส ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติบอกว่า เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ดังนั้น ยิ้มสยามไม่แพ้ใคร และพนมมือไหว้ สวัสดีครับ ขอบคุณครับ ขอโทษครับ เรามีความสุภาพ นอบน้อม มีความต้อนรับอยู่ในใจ เรามีครบกันอยู่แล้วในทุก ๆ ด้าน

น.สพ.วันชัย ตันวัฒนะ
น.สพ.วันชัย ตันวัฒนะ

หมูเด้งไม่ใช่แค่ฮิปโปแคระ

น.สพ.วันชัยกล่าวว่า จุดเริ่มต้นของกระแสหมูเด้งไม่ใช่เรื่องปกติ ต้องยกเครดิตให้ พี่เลี้ยง “เบนซ์-อรรถพล หนุนดี” ที่จับพฤติกรรมของฮิปโปแคระในวัยเด็กมาทำเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย ทำให้เป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน กว่าลูกสัตว์ที่เกิดใหม่จะเป็นข่าวต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

เนื่องด้วย เบนซ์ อรรถพล พี่เลี้ยงหมูเด้ง เป็นแอดมินเพจ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” อยู่แล้ว จากการดูแลขาหมู หมูหวาน หมูตุ๋น หมูมะนาว รวมไปถึงคาปิบาร่า ทำให้มีแฟนคลับจำนวนมาก และก่อนหน้านี้ที่มีกระแสคาปิบาร่า ก็ทำให้กางเกง “กะปิปลาร้า” มียอดขายทะลุล้านบาท กลายเป็นกระแสคู่กับกางเกงช้าง ซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยตอนนั้น

“เราทำงานสวนสัตว์ นอกจากจะมีสัตว์ให้คนเข้าไปชมแล้ว ยังมีการอนุรักษ์ การแพร่พันธุ์สัตว์ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ตอบความสำเร็จในการแพร่พันธุ์สัตว์ของเรา เพราะปัจจุบันฮิปโปแคระเป็นสัตว์หายาก เหลือเพียง 2-3 พันตัว และมีเพียง 4-5 ร้อยตัว ในสวนสัตว์ทั่วโลก”

กระแสของหมูเด้ง ทำให้ผู้เข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเติบโตขึ้นเท่าตัว จาก 1-3 พันคน เป็น 4-5 พันคนต่อวันในวันธรรมดา และแตะหมื่นคนในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในสวนสัตว์อื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากที่ตั้งเป้าไว้ 2 แสนคน ในปีนี้ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนแล้ว

“สำหรับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย หมูเด้งไม่ใช่แค่ฮิปโปแคระแล้ว แต่มีแบรนด์ตัวเอง มีโลโก้ มีกลุ่มสินค้า ตรงนี้จะขยายความร่วมมือออกไป โดยเฉพาะในต่างประเทศ ในการส่งเสริมให้คนช่วยกันอนุรักษ์ฮิปโปแคระในธรรมชาติด้วย” น.สพ.วันชัยกล่าว