เจ้าพ่อ FLYNOW ขอรีบอร์น ไม่รีแบรนด์ “ช่างชุ่ย” ยังไปต่อ

Flynow
สมชัย ส่งวัฒนา

ไม่บ่อยครั้งที่เจ้าพ่อแฟชั่นแบรนด์ FLYNOW และเจ้าของโครงการ “ช่างชุ่ย” ริมถนนสิรินธรจะให้สัมภาษณ์แบบยาว ๆ ถึงก้นลึกของจิตใจ แต่ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รับเกียรตินั้น

“คุณลิ้ม-สมชัย ส่งวัฒนา” ดีไซเนอร์แบรนด์ไทยมือฉมังที่มีบุคลิกโดดเด่น ด้วยทรงผม เสื้อผ้า และแว่นตา กำลังจะมีอายุครบ 66 ปีเต็มในวันที่ 12 มีนาคม 2568

คุณลิ้มบอกว่า เจอมาหมด ทั้งทุกข์ สุข สำเร็จ และล้มเหลว ต้องขอบคุณ “ประสบการณ์” ที่กลั่นให้เราเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น

จากที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่นมาเกิน 4 ทศวรรษ ได้นำพาองค์กรและเพื่อนร่วมงานแหวกฟ้าคว้าดาวสร้างชื่อมาแล้วในเวทีระดับโลก อีกทั้งเคยฝ่าลมโต้คลื่นจากวิกฤตเศรษฐกิจถึง 2 ครั้งใหญ่ ๆ นั่นคือวิกฤตปี 2540 และวิกฤตโควิด

ปัจจุบันคุณลิ้มยังเดินหน้าทำธุรกิจออกแบบเสื้อผ้าแบรนด์ FLYNOW ที่ว้าวกว่าเดิม ด้วยความเก๋าของทีม และได้ดูแลพนักงานนับ 100 ชีวิตให้มีอาชีพที่ยั่งยืนมั่นคง ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด

“ธุรกิจทุกวันนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเดา ว่าโรคยอดฮิตที่ผ่านมาทำให้โลกใบนี้สั่นสะเทือนมากน้อยแค่ไหน”

ADVERTISMENT

คุณลิ้มสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดแฟชั่นว่า หลังโควิดจบลง เรื่องราวก็แปรเปลี่ยน มีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้น คนซื้อเปลี่ยนไป การซื้อก็เปลี่ยนไป

ซึ่งเขายังสงสัยอยู่ว่า ต้นไม้งาม รากมันงามด้วยมั้ย เพราะที่เห็นคือไมโครเทรนด์ ไม่ใช่เทรนด์ที่ใหญ่พอที่จะข้ามทศวรรษ หรือศตวรรษนี้ได้

ADVERTISMENT

แต่ยอมรับว่ากติกาใหม่ของการทำธุรกิจในโลกใบใหม่เปลี่ยนรุนแรง โลกไร้พรมแดนจริง ๆ

เราต้องตั้งคำถามกับตัวเอง จะใช้ชีวิตอย่างไร ทำธุรกิจแบบไหนให้รอด ภายใต้ปรัชญาที่ดำรงไว้ คือมีความวิริยะ ความอดทน คนเคยเจ็บมาก่อนต้องอดทนกว่า อึดกว่า ด้วยหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ นี่คือตัวตนของ FLYNOW

ข้อแรกต้องดูว่าเราเก่งอะไร เราทำแบรนดิ้งได้ ทำมาร์เก็ตติ้งได้ ออกแบบได้ โชว์ก็ได้ ขายก็ได้ การอยู่ในวงการนี้มาถึง 42 ปี ทำให้เรารู้ซึ้งถึงตัวแปรและคู่แข่ง

ทั้งกลุ่มลูกค้าและตลาดที่กำลังเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ ตลาดใหม่คือตลาดแถบเอเชีย ตลาดตะวันออกกลาง ยุโรปไม่ใช่ตลาดหลักอีกแล้ว

ยิ่งออนไลน์เข้ามา และยังไม่รวมถึงสีเทาอีก เงินหมุนในระบบน้อยลง ทำให้คนไทยเป็นโรคโลหิตจาง (ขาดแคชโฟลว์) หวังว่าสถานการณ์โดยรวมจะทำให้กำลังซื้อดีขึ้น

FLYNOW วันนี้ปรับตัวทุกมิติแล้ว ทั้งบริหารงานแบบบนลงล่าง ใหญ่แค่ไหนก็ต้องฟังเสียงลูกน้อง มากกว่าฟังเสียงหัวใจเราเอง ทีมเวิร์กกลายเป็นพลังและมีฟังก์ชั่นมากขึ้น

การมีทักษะ มีประสบการณ์เป็นแบรนด์ไทยที่เคยขายได้ในตลาดโลกมาแล้ว 30-40 ประเทศ ทำเสื้อตั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยจนถึงหลักล้าน วันนี้ต้องมา Survive ในภาวะ Crisis เพื่อหาฐานที่มั่นที่เหมาะที่สุด

เราจึงต้องทำองค์กรให้เล็กที่สุด เคลื่อนไหวเร็วสุด คุยกันได้ทุกเรื่อง ทุกวัน และเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เด็ดขาดบ้างในบางโอกาส แผนเปลี่ยนได้เมื่อมีสิ่งที่ดีกว่า

บริษัทเราเคยมี 10 กว่าแบรนด์ในมือ แบรนด์หนึ่งมี 300 ดีไซน์ที่ต้องผ่านตา วันนี้เรา Scale Down เหลือ 20-30% จากแหล่งผลิตครบวงจร เคยมีโรงงานใหญ่ 500 กว่าจักร ก็เหลือ 50 จักร ข้อดีคือเราเก็บยอดปรมาจารย์ฝีมือไว้ทั้งหมด

ตลาดระดับกลาง-ล่าง เราจะไม่ทำแล้ว มุ่งสู่ตลาดบน ร้านหรูจะอยู่ในห้างใจกลางเมือง อย่างพารากอน เอ็มโพเรียม และเกษรวิลเลจ

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติจะช็อปเสื้อแบรนด์เราถึง 70% ทำให้เราไปได้

ช่างของเราอายุงาน 20-30 ปี ถือเป็นของวิเศษที่ออนไลน์ทำไม่ได้ เป็นสแตนดาร์ดที่เราทำให้กับโลกใบนี้

เมื่อปรับโครงสร้างแล้ว เราก็อยู่กับความจริง พิสูจน์ได้กับสินค้าที่ทำออกไปขาย ทุกอย่างต้องวัดด้วยตัวเลข วิเคราะห์ลูกค้าทุกคนที่มาซื้อ การเซอร์วิสก็ไม่ใช่เซอร์วิสธรรมดาแล้ว เป็นเรื่องของ Human Touch

ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ คนไซซ์ไหนก็ใส่เสื้อ FLYNOW แล้วดูดี ไม่ซ้ำ เราผลิตจำนวนไม่กี่ตัว ถูกกว่าแบรนด์ฝรั่ง 5 เท่า แต่แบบเริ่ด เสื้อฟายนาวใส่แล้วโก้ ใส่แล้วรวย นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ

มีคนถามว่าแฟชั่นคืออะไร คำตอบคือ Believe ถ้าเชื่อในสิ่งที่คิดด้วยปัญญา ทำโดยประสบการณ์ สิ่งนั้นจะเป็นจุดแข็งของเรา เพราะเราเล่นเกมของเรา เราไม่ได้เล่นเกมของคนอื่น

ปกติธุรกิจที่อยู่มานานต้องรีแบรนด์ แต่ FLYNOW ขอรีบอร์น เริ่มใหม่ ทำใหม่ เสื้อที่ดีที่สุดในชีวิตคือตัวไหน คำตอบคือ “ตัวต่อไป” ชีวิตต้องเดินหน้า หยุดไม่ได้

สำหรับโครงการ “ช่างชุ่ย” ฝั่งธนฯ ยังคงเดินหน้าต่อ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าทางใจ

“ช่างชุ่ยจวนเจียนจะเจ๊งก็ไม่เจ๊ง คือเปิดมาก็คึกคัก ครึกโครมมาก เราเปิดมาได้ 3 ปี ปีแรกดังมาก ปีที่สองยังเหลือความดังอยู่ ปีที่สามดับสนิท ปีที่สี่โควิดมา ปีที่ห้าโควิดมา จนห้าปีครึ่งก็มาเริ่มกันใหม่ หลังจากนั้นช่างชุ่ยก็กลับมายืนอยู่ได้อีก ปีนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว เร็วมาก” คุณลิ้มพูดถึงอีกหนึ่งธุรกิจในเครือที่เปรียบเหมือนลูกอีกคนที่ไม่ได้เกี่ยวกับแฟชั่น

ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเขาคืออยากเห็นช่างชุ่ยเป็นพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์

เพราะช่างชุ่ยเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งดี ๆ เป็นพื้นที่ดี ๆ ให้คนเข้ามาแชร์ เชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และนำเสนอ เป็นพื้นที่ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนนี้มีประมาณ 30 กว่างานที่ติดกระแสแล้ว ทรานฟอร์มเป็นมาร์เก็ต ผสมกับคอนเทนต์ ปีนี้จะมีคอนเทนต์ที่เข้มข้นขึ้น

ล่าสุดช่างชุ่ยได้ที่ดินมาเพิ่มเป็น 12 ไร่ ที่ดินหน้ากว้างติดถนนสิรินธรถึง 300 เมตร มีโอกาสเชื่อมโยงกับชุมชน มีเรือนบุหงาอายุกว่า 100 ปีเป็นไฮไลต์ที่เปิดให้ผู้มาเยือนได้เยี่ยมชมด้วย

ข้อดีคือ “ช่างชุ่ย” เป็นองค์กรที่ไม่ค่อยมีอดีต เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข และมีจิตใจผูกกันอยู่