
ลอรีอัล กรุ๊ป เผยผลงานปิดปี 2567 อย่างแข็งแกร่งในสภาวะตลาดที่ท้าทาย เติบโต 5.1% โดย 3 ใน 4 กลุ่มธุรกิจเติบโตสูงกว่าตลาดลา โรช-โพเซย์ ก้าวสู่แบรนด์สกินแคร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “เรามีการเติบโตที่แข็งแกร่งและทั่วถึงที่ 5.1% โดยเติบโตแซงหน้าตลาดความงามโลกอีกครั้งหนึ่ง หากไม่นับเอเชียเหนือ ซึ่งยังคงมีความท้าทายในจีน
ปี 2567 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เราได้วางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการตลาดและการวิจัยและพัฒนาด้วย AI และเทคโนโลยี พัฒนาการประสานงานด้านไอที ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน
“นอกจากนี้ เรายังปรับปรุงพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง เราได้ซื้อลิขสิทธิ์ Miu Miu และแบรนด์ Dr.G ของเกาหลี และเข้าถือหุ้นส่วนน้อยใน Galderma บริษัทเวชภัณฑ์โรคผิวหนังจากสวิตเซอร์แลนด์เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังและชีววิทยาของผิว และใน Amouage แบรนด์น้ำหอมระดับไฮเอนด์ในกลุ่มอาหรับ สิ่งนี้จะช่วยให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นในการพิชิตพื้นที่ความงามใหม่ๆ ทางภูมิศาสตร์ ประชากร และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนำเสนอนวัตกรรมความงามที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อผู้บริโภคในอนาคต”
“ในปี 2568 เรายังมองแนวโน้มของตลาดความงามโลกในทางที่ดี และมั่นใจในความสามารถของเราที่จะเติบโตแซงหน้าตลาด และบรรลุการเติบโตของยอดขายและกำไรอีกครั้งหนึ่ง เราคาดว่าการเติบโตจะเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้รับการสนับสนุนจากแผนกระตุ้นความงามของเรา ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น และการสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง”
จากการสรุปผลการดำเนินงานตามแผนก พบว่าแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 5.3%1 แซงหน้าตลาดผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ด้วยแรงหนุนจากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมระดับพรีเมียม และกลยุทธ์ออมนิแชนเนลที่ประสบความสำเร็จ พร้อมการเติบโตที่โดดเด่นทั้งในอีคอมเมิร์ซและช่องทางจำหน่ายแบบคัดสรร
เคเรสตาส (Kérastase) ยังคงรักษาการเติบโตในระดับสองหลักอย่างแข็งแกร่ง กลายเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของแผนก ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล (L’Oréal Professionnel) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง แผนกยังคงดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนโดยเริ่มต้นจากการผลักดันบรรจุภัณฑ์แบบเติม
แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคเติบโต 5.4%
การเติบโตมีความสมดุลทั้งด้านมูลค่าและปริมาณแบบผสมผสาน โดยแผนกยังคงสานต่อกลยุทธ์ในการยกระดับการเข้าถึงผู้บริโภคและการพัฒนาสินค้าให้อยู่ในระดับพรีเมียม แบรนด์หลักทั้ง 4 แบรนด์มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง
โดยที่ ลอรีอัล ปารีส ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งในปีนี้ โดยเฉพาะในโซนยุโรปและตลาดเกิดใหม่ ที่ยอดเยี่ยมพอที่จะชดเชยผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งทั้งสองตลาดได้รับผลกระทบในทางลบจากภาวะการเติบโตของตลาดที่อ่อนตัวลง ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมคึกคักเป็นพิเศษ นำโดยลอรีอัล ปารีส ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเป็นหมวดหมู่ที่เติบโตเร็วเป็นอันดับสอง
เครื่องสำอางได้รับประโยชน์จากการเปิดตัวมาสคาร่าพาโนรามา ของลอรีอัล ปารีส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เช่นแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์รุ่นเทดดี้ โดย เมย์เบลลีน นิวยอร์ก
แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมีการเติบโตที่ระดับ 2.7%
ในปี 2567 แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดความงามลักชัวรี่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การเติบโตแข็งแกร่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสมดุลในแต่ละภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น หากไม่นับรวมเอเชียเหนือ แผนกนี้เติบโตอย่างน่าประทับใจในอัตราเลขสองหลัก โดยมีอเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนการเติบโตที่ใหญ่ที่สุด จนก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดความงามชั้นสูงได้เป็นครั้งแรก
แผนกยังคงเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มน้ำหอม การเติบโตต่อเนื่องเป็นผลจากความสำเร็จระดับโลกทั้งในกลุ่มน้ำหอมผู้หญิง พาราด๊อกซ์ โดยพราด้า, บอร์น อิน โรมา โดย วาเลนติโน่, ลิเบรอ โดย อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และน้ำหอมผู้ชาย สตรองเกอร์ วิธ ยู โดย อาร์มานี่ , วอนเต็ด โดยอัซซาโร่, โปโล 67 โดย ราล์ฟ ลอเรน, มายเซลฟ์ โดย อีฟส์ แซงต์ โลรองต์
การเติบโตของเครื่องสำอางเร่งตัวขึ้นด้วยแรงหนุนจากความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ทั้งในตลาดตะวันตกและจีน ขับเคลื่อนโดยผลิตภัณฑ์หลักอย่าง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ เลิฟชายน์ และ ทูช เอคลาต์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เอสอป , ทาคามิ และ ยูธ ทู เดอะ พีเพิล ได้ดำเนินกลยุทธ์การขยายตลาดทั่วโลกด้วยผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโตอย่างโดดเด่นที่ระดับ 9.8%
แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายทะลุ 7 พันล้านยูโรเป็นครั้งแรก โดยเติบโตแซงหน้าตลาดเวชสำอางโลก ซึ่งยังคงคึกคักแม้จะมีการชะลอตัวลงบ้าง แผนกเติบโตในทุกภูมิภาค โดยมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค SAPMENA และยุโรป ทั้งยังมีผลประกอบการที่เหนือกว่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญในเอเชียเหนือ และเติบโตนำหน้าตลาดในอเมริกาเหนือ
ในส่วนของแบรนด์ ลา โรช-โพเซย์ มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของแผนกธุรกิจนี้มากที่สุด โดยได้รับแรงสนับสนุนอย่างมากจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่มารับไม้ต่อจาก เซราวี ด้วยแรงหนุนจากความสำเร็จอย่างมากของ เมลา บีทรี ทำให้ ลา โรช-โพเซย์ กลายเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกในทุกช่องทาง
แม้ว่าจะมีผลประกอบการในระดับทรงตัวในสหรัฐอเมริกา แต่ เซราวี ก็ทำยอดขายก็ได้ทะลุ 2 พันล้านยูโร ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการขยายตลาดต่างประเทศด้วยผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน SAPMENA จีน และบราซิล ซึ่งเซราวีเป็นผู้บุกเบิกตลาดของแผนก
สรุปตามภูมิภาค
ยุโรป เติบโต 8.2 %1 อเมริกาเหนือ เติบโต 5.5% เอเชียเหนือ หดตัว 3.2% ลาตินอเมริกา เติบโต 11.0% ภูมิภาค SAPMENA-SSA เติบโต 12.3%
ด้านลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยยังสามารถครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดความงาม โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีแบรนด์ การ์นิเย่ ยังคงเป็นแบรนด์สกินแคร์อันดับหนึ่งของประเทศ และมีลอรีอัล ปารีส และ เซราวี อยู่ในท๊อป 5 ในส่วนเมคอัพ มีเมย์เบลลีน นิวยอร์ค ยึดตำแหน่งแบรนด์เมคอัพอันดับหนึ่ง ในส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีเคเรสตาสครองอันดับ 1 ในตลาดพรีเมียม
นอกจากนั้น ลอรีอัล ประเทศไทย ยังมีการปรับให้พอร์ตโฟลิโอแบรนด์เข้มแข็งขึ้น โดยนำแบรนด์ 3CE แบรนด์เมคอัพเกาหลีอันดับ 1 ของโลก มาภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2568 เพื่อปลุกตลาดเมคอัพ เช่นเดียวกับแผนกความงามชั้นสูงที่จะมีการนำแบรนด์เอสอปมาอยู่ภายใต้การดูแลช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นี้ และแบรนด์ต่างๆ ได้เตรียมนำผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพและนวัตกรรมที่น่าสนใจมาให้ผู้บริโภคชาวไทยเผื่อผลักดันตลาดในทุกๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์
ผลงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
ในเดือนพฤศจิกายน ภูมิภาค SAPMENA ประกาศความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในสถานประกอบการ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (SAPMENA) รวมทั้งประเทศไทยในสิ้นปี 2566 ครอบคลุมโรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า สำนักงาน และศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทั้งหมดภายในภูมิภาค ก่อนกำหนดในปี 2028 นอกจากนี้ลอรีอัลยังได้รับรางวัลแพลตตินัมจาก EcoVadis ซึ่งจัดอันดับให้ลอรีอัลอยู่ในกลุ่ม 1% ของบริษัทที่ดีที่สุดในโลกในด้านผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม