แรงงานอีสานสู่กรุงเทพฯ การย้ายถิ่นที่ต้องเผชิญความเสี่ยง เมื่อชนบทไม่สามารถยกระดับชีวิต

earthquake, in Bangkok
REUTERS
ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ : เรื่อง

ผ่านมาแล้วกว่า 20 วัน หลังจากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เกิดอาฟเตอร์ช็อกสู่สังคมเป็นวงกว้าง ว่าทำไมตึกนี้ถึงถล่มอยู่ตึกเดียวทั้งกรุงเทพฯ แผ่นดินไหวครั้งนี้ หลายจังหวัดทั่วประเทศไทยรับรู้แรงสั่นสะเทือน รวมทั้งตึกสูงใน กทม.จำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ภาคอีสานได้รับผลกระทบเล็กน้อย

แม้ภาคอีสานจะได้รับผลกระทบน้อยมากจากแผ่นดินไหว และจัดเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับสะเทือนถึงชีวิตและจิตใจของแรงงานอีสานที่เข้ามาทำงานในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความสูญเสียจากตึก สตง.ถล่ม

ประชาชาติธุรกิจ ชวนย้อนรอยการย้ายถิ่นของแรงงานอีสานที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ พวกเขาและพวกเธอต้องเผชิญความเสี่ยง ความยากลำบากอะไรบ้าง และทำอย่างไรให้การย้ายถิ่นเกิดผลในเชิงบวกที่ยั่งยืน เมื่อชนบทเป็นเซฟโซน แต่ไม่สามารถยกระดับชีวิตและฐานะทางเศรษฐกิจได้

จากชนบทสู่กรุงเทพฯ ภูมิหลังการย้ายถิ่นแรงงานอีสาน

“รศ.ดร.สร้อยมาศ รุ่งมณี” อาจารย์วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูล “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เดิมทีเศรษฐกิจในหมู่บ้านภาคอีสานเป็นแบบยังชีพ และอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพมหานครมาก เมื่อครั้งที่ยังไม่มีรถไฟและถนนมิตรภาพ การเดินทางเข้ามาที่ส่วนกลางจึงเป็นเรื่องยากลำบาก

จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เริ่มมีการผลิตข้าวส่งออกต่างประเทศ ก็เริ่มมีการย้ายถิ่นของเเรงงานภาคอีสานเข้ามารับจ้างในกรุงเทพฯ เกิดนายฮ้อยที่เกณฑ์ปศุสัตว์เข้ามาขาย และมีการรับจ้างทำนาในฤดูทำนาด้วย นับเป็นยุคแรก ๆ ของการย้ายถิ่นเข้ามาในเมือง สืบเนื่องมาจนสมัยที่มีการสร้างทางรถไฟ ก็มีแรงงานเข้ามารับจ้างเช่นกัน

แต่ถ้ากล่าวถึงยุคการย้ายถิ่นขนาดใหญ่ของแรงงานอีสานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ที่ชัดเจนจะเป็นยุค “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ซึ่งมีการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นอุตสาหกรรม เกิดการสร้างเขื่อน ถนน การชลประทาน ที่สำคัญคือถนนมิตรภาพ เชื่อมโยงอีสานกับกรุงเทพฯ ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้ามาในเมืองมากขึ้น

ADVERTISMENT

ประกอบกับยุคนั้นมีสงครามเวียดนาม และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดอุปทานของแรงงานในภาคเมือง เกิดการเคลื่อนย้ายของคนชนบท ยุคสงครามเวียดนามจึงเกิดภาพที่ผู้ชายไปเป็นแรงงานในฐานทัพและแรงงานก่อสร้าง ขณะที่ผู้หญิงก็ไปอยู่พัทยา ทำงานในภาคบริการและการท่องเที่ยว

หลังจากนั้น เข้าสู่ยุคที่ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา จะเห็นว่ามีแรงงานอีสานผู้หญิงมาเป็นสาวโรงงานในโรงงานสิ่งทอ และมาเป็นสาวใช้ ช่วงนี้เองเป็นยุคการเติบโตของเพลงลูกทุ่งไทย ที่พูดถึงชีวิตสาวโรงงานและคนที่ย้ายถิ่นมาอยู่ในเมือง ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของเศรษฐกิจไทย และเป็นยุคที่แรงงานอีสานเคลื่อนย้ายสู่เมืองมากที่สุดเช่นกัน

ADVERTISMENT

นอกจากจะมีการย้ายถิ่นสู่กรุงเทพฯ และเมืองอุตสาหกรรมอื่น ๆ แรงงานอีสานยังมีการย้ายถิ่นไปต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลางซึ่งแรงงานชายเริ่มมีการย้ายถิ่นตั้งแต่ทศวรรษ 2530 แล้ว ตามมาด้วยไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ ที่เริ่มมีแรงงานหญิงไปทำงานในภาคการผลิตต่าง ๆ เช่น ภาคเกษตร เป็นต้น

ทั้งนี้ จากการวิจัยเรื่องเจเนอเรชั่นของคนอีสานที่ย้ายถิ่น พบว่า รุ่นพ่อ-แม่ ซึ่งปัจจุบันอายุเกิน 60 ปี และเกษียณแล้ว เมื่อครั้งเข้ามาทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ตอนนั้นจบ ป.4 ต่อมารุ่นลูกซึ่งปัจจุบันอายุราว 40 ปี เริ่มมีการศึกษาสูงขึ้น ใช้วุฒิ ม.3 จบอาชีวะบ้าง ช่างเทคนิคบ้าง โดยเข้ามาทำงานก่อสร้าง งานโรงแรม และโรงงาน ขณะที่รุ่นหลานจบ ปวส. หรือมหาวิทยาลัย การศึกษาที่สูงขึ้นทำให้ได้ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นแรงงานที่มีทักษะ และไม่ได้ใช้แรงงานมากนักเหมือนรุ่นแรก ๆ แล้ว รศ.ดร.สร้อยมาศ กล่าว

earthquake, in Bangkok
REUTERS

แรงงานราคาถูก ตึก สตง. สะท้อนทุกความเสี่ยง

รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้แรงงานอีสานเคลื่อนย้ายมาสู่กรุงเทพฯ คือ “เงิน” โดยลักษณะงานในยุคหลังสงครามเวียดนาม คืองาน “3D” ที่เป็นงานสกปรก (Dirty Job) งานอันตราย (Dangerous Job) และงานยาก (Difficult Job) ซึ่งปัจจุบันเป็นงานที่คนไทยไม่ทำ และถูกแทนที่ด้วยแรงงานข้ามชาติเป็นส่วนใหญ่

แต่ในสมัยนั้น แรงงานอีสานเป็นคนทำงานเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานคนใช้ และงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื่องด้วยตอนนั้นประเทศเพื่อนบ้านยังติดพันอยู่กับสงครามเวียดนาม และแรงงานเพื่อนบ้านยังไม่ได้เคลื่อนย้ายมาสู่ประเทศไทยดังที่เห็นกันในปัจจุบัน

แน่นอนว่างานเหล่านี้มีความเสี่ยง จากแผ่นดินไหวที่ผ่านมา และเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม เชื่อว่าแรงงานอีสานไม่มีใครอยากอยู่บนที่สูง แต่ต้องทำงานเพื่อแลกเงิน ดังนั้น ความลำบากและความเสี่ยงคือสิ่งที่มีมาตั้งแต่อดีต ด้วยประเภทงานที่ทำ และการถูกกดทับมาตั้งแต่เริ่มต้น

ภาคอีสานนอกจากจะอยู่ห่างไกลในทางภูมิศาสตร์แล้ว ยังเป็นภาคที่มีประชากรเยอะ แต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อย ทั้งที่มีความยากจนและความแห้งแล้งมากกว่าภาคอื่น เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงเลือกเข้ามาเสี่ยงในเมืองเมื่อต้องการรายได้

“ตามที่เห็นในข่าว ทั้งตึก สตง.ถล่ม หรือถนนพระราม 2 ที่มีอุบัติเหตุไม่รู้กี่ครั้ง ล้วนเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน แต่แรงงานที่เป็นคนสร้างเมืองเหล่านี้กลับไม่เคยถูกนึกถึง หากไปดูแบ็กกราวนด์ของแรงงานเหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากภาคอีสาน มันเป็นความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแบ็กกราวนด์ทางการศึกษาด้วย ทำให้ไม่สามารถหางานที่มีความเสี่ยงน้อยกว่านี้ได้”

รศ.ดร.สร้อยมาศย้ำอีกว่า อันที่จริงอาจใช้คำว่า “แรงงานราคาถูก” ทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติที่เป็นแรงงานสร้างเมือง ไม่ใช่แค่ค่าแรงถูกอย่างเดียว แต่ชีวิตก็ถูกตีราคาถูกด้วย เพราะตั้งแต่ตึกถล่มจนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นคนรับผิดชอบ (ต้องมีผู้รับผิด และรัฐต้องเอาผิดกับผู้ที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ด้วย) และไม่ทราบว่าได้รับการเยียวยา หรือชดเชยจากรัฐอย่างไร

“ภาพที่เราเห็นจากตึก สตง.ถล่ม ทั้งผู้ที่ติดอยู่ภายใน ญาติที่มารอ ตลอดจนประชาชนที่ขับรถผ่านไปมา มันกระทบต่อจิตใจมาก ถ้าเลือกได้แรงงานเหล่านี้จะมาทำงานแบบนี้หรือไม่ ถ้ามีงานอื่นที่ชนบทหรืองานภาคเกษตรที่ได้ราคาดี พวกเขาจะเข้ามาในเมืองหรือไม่ ถ้ามีอะไรให้ทำและชนบทสามารถอยู่ได้ ลูกได้เรียนโรงเรียนดี ๆ ก็น่าจะเป็นพื้นที่ที่พวกเขาดำรงชีพได้ แต่ในสภาพปัจจุบันต้องขวนขวาย เพราะทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน การเยียวยาไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องจิตใจด้วย มีคนที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต และเขามียาย มีน้องที่ต้องดูแล ภาพเหล่านี้สะท้อนชีวิตของแรงงานอีสานได้อย่างชัดเจน ยังไม่นับอีกหลายโครงการก่อสร้างที่ต้องทำงานอยู่ หรือคนกวาดถนนที่ถูกรถชน ซึ่งเราเห็นเป็นประจำ และไม่รู้ว่าจะเรียกร้องความรับผิดชอบกับใครด้วย”

ชีวิตแรงงานราคาถูก คนเมืองก็มีชีวิตราคาถูกเช่นกัน เพราะอาจเป็นคนเมืองที่เผชิญเหตุนี้ในสักวัน มีข้อสังเกตว่าอุบัติเหตุในโครงการของรัฐ โดยเฉพาะย่านพระราม 2 หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับความสนใจ กลับกันคราวนี้เป็นแผ่นดินไหวซึ่งคนกรุงได้รับผลกระทบกันทั้งเมือง คนชั้นกลางมีส่วนร่วม ได้รับผลกระทบไปด้วย จึงเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา หวังว่าชนชั้นแรงงานเหล่านี้จะมีตัวตนขึ้นมาบ้างในสังคม รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าว

นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตอนทำงานเท่านั้น ในประเภทงานที่ต้องใช้เเรงเยอะ ๆ แรงงานจำนวนมากจะเกิดปัญหาสุขภาพตามมาภายหลังเมื่อกลับสู่ชนบทเเล้ว บางคนป่วย บางคนกระดูกสันหลังคด เพราะทำงานแบกหาม ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าเดินทางก็สูง

“แรงงานเหล่านี้ไม่ได้เสี่ยงแค่ตอนไซต์งาน แต่เสี่ยงถึงสุขภาพร่างกายหลังจากกลับสู่ชนบทด้วย ซึ่งบางครั้งสวัสดิการสังคมก็ไม่ครอบคลุม และหากรุ่นลูก รุ่นหลานยังตั้งตัวไม่ได้ การย้ายถิ่นก็ยังส่งต่อรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อย ๆ”

รศ.ดร.สร้อยมาศระบุอีกว่า นอกจากความเสี่ยงต่อชีวิตที่ต้องทำงานอันตรายแล้ว ความเสี่ยงในด้านสังคมก็มีเช่นกัน กล่าวคือ จะเห็นภาพของ “ครัวเรือนแหว่งกลาง” ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของแรงงานอีสาน ในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา มีหลายเจเนอเรชั่นที่พ่อแม่ต้องเข้ามาทำงานในเมืองและให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย

ในอดีต ภาวะแบบนี้พ่อแม่ก็ส่งเงินกลับบ้าน และลูกก็เติบโตไปพร้อมกับญาติพี่น้อง แต่ในปัจจุบัน ต้องตั้งคำถามว่าผู้คนในหมู่บ้านต่าง ๆ ของภาคอีสานมีความพร้อมและความสามารถมากน้อยแค่ไหนในการรองรับหรือดูแลเด็กรุ่นใหม่

จากที่เคยลงพื้นที่ศึกษาแรงงานในภาคอีสาน ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ถ้าไปทำงานที่อื่น จะไปช่วงที่ลูกยังเล็กอยู่ เพราะคนในหมู่บ้านและญาติ ๆ ช่วยกันดูแลได้ แต่ถ้าลูกเข้าสู่วัยรุ่น หลังจบ ป.6 ต้องกลับบ้านเพื่อมาดูแลลูก เดี๋ยวคุมไม่ได้เพราะลูกเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว หรือไม่ก็ให้ลูกมาเรียนอยู่ด้วยกันในเมือง เป็นต้น

“เหมือนกับคนแก่เลี้ยงหลาน เกิดเจเนอเรชั่นแกปที่กว้างมาก จากการวิจัยพบว่า เด็กที่เติบโตมากับปู่ย่าตายายในครัวเรือนแหว่งกลางของภาคอีสาน มักจะมีพัฒนาการที่ถดถอยหรือน้อยกว่าเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ สิ่งนี้เป็นเรื่องทางสังคมที่แรงงานต้องรับความเสี่ยง…แรงงานที่มาทำงานในกรุงเทพฯ เขตอุตสาหกรรมในระยอง หรือต่างประเทศ เมื่อมีลูกสาวก็ให้อยู่กับตายาย กลับมาก็มาเจอว่าลูกสาวท้อง ต้องออกจากโรงเรียน”

earthquake, in Bangkok
REUTERS

ผู้ชายเสี่ยง แต่ผู้หญิงและเพศอื่น ๆ เสี่ยงกว่า

รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าวอีกว่า เมื่อนึกถึงแรงงานก่อสร้าง ผู้คนส่วนมากมักนึกถึงผู้ชาย อันที่จริงมีแรงงานผู้หญิงและเพศอื่น ๆ ด้วย ซึ่งต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เมื่อต้องเข้ามาทำงานในเมือง

ผู้หญิงอีสานย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในเมืองเยอะมาก และถูกคาดหวังให้เป็น “Dutiful Daughter” หรือลูกสาวที่มีภาระหน้าที่บางอย่างในการดูแลพ่อแม่

เนื่องจากสังคมในภาคอีสาน เดิมทีจะสืบสายทางแม่ ผู้หญิงเป็นคนรับมรดกที่นา ผู้ชายแต่งเข้าบ้าน และมาช่วยดูแลที่นา แต่เมื่อสังคมเป็นทุนนิยม ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแล้วที่ได้มรดก พ่อแม่จะต้องหารให้เท่ากัน ลูกสาวที่เคยรับที่นาก็ต้องไปทำงานหาเงินในเมือง แต่ภาระหน้าที่ในการดูแลพ่อแม่ยังอยู่ ผ่านการส่งเงินกลับบ้าน

“งานวิจัยจากทั่วโลกบอกว่าผู้หญิงจะส่งเงินกลับบ้านมากกว่าผู้ชาย 1.5 เท่า และครัวเรือนคาดหวังในตัวผู้หญิงมากกว่า ลูกสาวต้องดูแลพ่อแม่ ส่วนผู้ชายไม่เป็นไรหรอก ต้องใช้เงินในความสุขของชีวิตตัวเองบ้าง”

ผู้หญิงลำบากกว่าผู้ชายเยอะมาก และเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย เช่น การเป็นสาวใช้ และงานอื่น ๆ ที่เป็นงานกำหนดเพศ ในอดีตจะมีปัญหานี้เยอะมาก แต่ปัจจุบันแรงงานอีสานถูกทดแทนด้วยแรงงานข้ามชาติเยอะเเล้ว

“ชีวิตในเมืองมันดิ้นรน และเหนื่อยกว่าแรงงานในภาคชนบท แม้ในชนบทจะมีรายได้ไม่เยอะ แต่ก็มีทรัพยากรที่พอหากินหาอยู่ได้ ไม่ต้องใช้เงินไปทุกเรื่อง แต่ถ้าแรงงานในเมืองต้องดิ้นรน กดดันกว่า และลำบากกว่า” รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าวย้ำ

ใช้เพื่อประกอบเท่านั้น

ทำอย่างไรให้การย้ายถิ่นเกิดผลเชิงบวกยั่งยืน

ข้อมูลจาก “Regional Letter แบ่งปันความรู้…สู่ภูมิภาค” ฉบับที่ 4/2566 เรื่อง “แรงงานอีสานคืนถิ่น กลับไปพื้นที่เศรษฐกิจเดิมมากน้อยแค่ไหน” โดย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา แรงงานอีสานคืนถิ่นมาจากกลุ่มลูกจ้างในภาคกลางรวมถึงกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ

โดยแรงงานอีสานกลับภูมิลำเนาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเป็นประชากรอีสานคืนถิ่น 6.5 แสนคน ซึ่งคิดเป็นแรงงานประมาณ 4 แสนคน แต่หลังเปิดประเทศ แรงงานอีสานเคลื่อนย้ายกลับไปยังภาคกลางราว 8 หมื่นคน เหลือแรงงานอีสานคืนถิ่นอีก 3.2 แสนคน หรือร้อยละ 80 ของแรงงานคืนถิ่น

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่างระบุในขณะนั้นว่า ในระยะสั้น แรงงานอีสานยังเลือกทำงานในท้องถิ่น ประเด็นสำคัญที่ยังต้องติดตามต่อไป คือโครงสร้างของตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ยั่งยืนแค่ไหนและสร้างโอกาสแก่ธุรกิจในอีสานได้มากเพียงใด

ข้อมูลจาก “การสำรวจการย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. 2567” โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้ย้ายถิ่นจำนวน 7.99 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 1.1 ของประชากรทั้งประเทศ โดยผู้ย้ายถิ่นด้วยสาเหตุด้านการงาน เช่น หางานทำ หน้าที่การงาน หรือต้องการเปลี่ยนงาน มีจำนวนมากที่สุด 2.87 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 35.9 ของทั้งหมด

สำหรับจำนวนผู้ย้ายถิ่นที่ย้ายระหว่างภาค จำนวน 2.42 แสนคน พบว่า ผู้ย้ายถิ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ย้ายมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด คิดร้อยละ 37.9

รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าวว่า ภาคชนบทเป็นหลังพิงได้ในยามที่คนตกงาน แต่ไม่สามารถเป็นพื้นในการดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน สุดท้ายก็ต้องกลับเข้าสู่เมืองเพราะไม่มีงานทำ ดังนั้น จะดำรงชีพในชนบทได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากตั้งคำถาม

หมู่บ้านในภาคอีสานที่เคยไปลงพื้นที่ ชาวบ้านมากกว่าร้อยละ 50 เคยย้ายถิ่นออกไปทำงานในช่วงหนึ่งของชีวิต แต่จะกลับมาตอนไหนเป็นอีกเรื่อง ในครัวเรือนจะมีอย่างน้อย 1 คนที่ต้องย้ายถิ่นไปทำงานและไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพื่อส่งเงินกลับมาพยุงภาคเกษตรกรรมที่บ้าน เพราะในพื้นที่ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้

อาจมีเกษตรกรดีเด่นที่สามารถพัฒนาตัวเองสู่การเป็นผู้ประกอบการได้ แต่คนเหล่านี้คือเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับคนธรรมดาที่ไม่มีทุนทางสังคม ไม่มีไอเดีย มีทุนการศึกษาน้อย และไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ

“โดยส่วนตัวแล้ว การย้ายถิ่นไม่ได้เป็นปัญหา เพราะใครก็อยากแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ถ้ามีรายได้มากกว่าแล้วนำมาสู่ชีวิตของครอบครัวที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ในอดีตมีงานวิชาการยุคหนึ่งมองว่าการย้ายถิ่นเป็นปัญหา เพราะคนต่างจังหวัดย้ายเข้าเมือง และกลายเป็นคนจนเมือง เกิดสลัม ชุมชนแออัด กลายเป็นปัญหาและตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ชนบทได้ นำมาสู่การพัฒนาชนบทในด้านต่าง ๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้คนก็ยังย้ายถิ่นอยู่

ดังนั้น ต้องตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรที่ให้การย้ายถิ่นของแรงงานเหล่านี้นำไปสู่ผลเชิงบวกที่ยั่งยืน และควรมีสวัสดิการแบบใดให้ชนชั้นเเรงงาน ในที่นี้รวมทั้งเเรงงานข้ามชาติด้วย เพราะถ้าภาครัฐยังไม่มองว่าเป็นมนุษย์เท่ากัน แรงงานเหล่านี้ก็จะยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี ยังถูกมองแค่เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจ มองเป็นแรงงานและชีวิตราคาถูก บนคำถามที่ว่าจะทำอย่างไรให้การย้ายถิ่นนำมาสู่ผลเชิงบวกที่ยั่งยืน อันดับแรกต้องทำให้การศึกษาเท่ากันก่อน ซึ่งปัจจุบันในชนบทหลายที่ทำดีแล้ว ทั้งศูนย์เด็กเล็ก หรือศูนย์คนชรา แต่เมื่อเด็กเริ่มโตขึ้นและเข้าโรงเรียน จะเริ่มเห็นความเหลื่อมล้ำชัดเจนในโรงเรียนประถมและมัธยม ระหว่างชนบทและในเมือง

จะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องย้ายถิ่น และกลายเป็นแรงงานที่มีสกิลต่อประเทศ หรือถ้าย้ายถิ่นแล้ว ทำอย่างไรให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ เพราะแค่ความเสี่ยงในชีวิตก็มากพอแล้ว และทำอย่างไรให้แรงงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผนวกอยู่ในสังคมเดียวกันได้กับคนเมือง

ต้องทำให้การย้ายถิ่นเป็นเรื่องปลอดภัย ยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาชนบท และสร้างทางเลือกให้ชาวบ้านที่จะมาทำงานในเมือง การย้ายถิ่นก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เกิดผลเชิงบวก และตัวผู้ย้ายถิ่นควรได้ความคุ้มครองในชีวิตในกรณีทำงานเสี่ยง พร้อม ๆ ไปกับรัฐต้องขยายความเจริญสู่ชนบทด้วย

“อย่างไรเสีย ภาคชนบทก็ยังเป็นเซฟโซนของแรงงานอีสาน และแรงงานทั้งหมดด้วย เพราะไม่สามารถทำงานที่กรุงเทพฯได้ตลอดชีวิต ไม่ได้มีบำเน็จบำนาญ ต้องเลี้ยงตัวเองจนแก่ตาย ผืนนาที่ชนบทจึงเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ต้องมีไว้ อย่างน้อยก็มีข้าวกิน เข้าไปหาเห็ด หาหน่อไม้ได้” รศ.ดร.สร้อยมาศกล่าว