ราชวงศ์ไทย-ภูฏาน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ที่มากกว่าการทูต

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เตรียมเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2568 นับเป็นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชสมัย

นอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 พระราชวงศ์ที่มีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างมิตรภาพ และความเข้าใจอันดีระหว่าง 2 ราชอาณาจักร ตลอดจนประชาชนให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปในทุกระดับ

ราชอาณาจักรภูฏาน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย มีทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทิเบต ส่วนทิศอื่น ๆ ติดกับอินเดีย และไม่มีทางออกทะเล มีเมืองหลวงชื่อว่า กรุงทิมพู (Thimphu) ภูมิอากาศมีความหลากหลาย บริเวณที่ราบตอนใต้มีอากาศแบบเขตร้อน บริเวณหุบเขาทางตอนกลางของประเทศมีอากาศร้อนและหนาวตามฤดูกาล ขณะที่บริเวณเทือกเขาหิมาลัยมีอากาศหนาวจัดในฤดูหนาว และอากาศเย็นในฤดูร้อน

ประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฏาน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2532 โดยดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกันในฐานะประเทศผู้ให้กับมิตรประเทศ และภูฏานให้การสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วยดีเสมอมา โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งในระดับพระราชวงศ์ และระดับประชาชนที่มีความเชื่อมโยงทางพุทธศาสนา ตลอดจนวัฒนธรรม

ในมิติเศรษฐกิจ ภูฏานถือเป็นประเทศลำดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่ได้จัดทำ FTA (Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรี) กับไทยต่อจากอินเดียและศรีลังกา โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทยและภูฏานมีมูลค่า 460.47 ล้านบาท

ADVERTISMENT

โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 457 ล้านบาท และนำเข้าจากภูฏาน 3.47 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป

ในด้านการท่องเที่ยว ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากภูฏานเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยจำนวนทั้งสิ้น 21,581 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.02 จากปี 2566 ที่จำนวน 20,356 คน

สายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่าง 2 พระราชวงศ์ไทยและภูฏาน ได้หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน และนับเป็นความผูกพันที่เหนือกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ เยือนภูฏานหลายครั้ง ทั้งการเสด็จฯ เยือนอย่างเป็นการส่วนพระองค์ และเป็นทางการ อาทิ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรกของไทยที่เสด็จฯ เยือนภูฏาน โดยเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 22-30 พฤษภาคม 2531 แม้ขณะนั้น ทั้ง 2 ประเทศยังไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างกัน โดยมีเจ้าหญิงเพม เพม วังชุก พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ที่ ๔ แห่งภูฏาน ถวายการต้อนรับและถวายการรับรองในการเสด็จฯ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ เยือนภูฏานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23-26 มิถุนายน 2534 ในฐานะพระราชอาคันตุกะของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ที่ ๔ แห่งภูฏาน (สมเด็จพระราชบิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ปัจจุบัน)

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้เสด็จฯ เยือนภูฏานหลายครั้ง พร้อมทั้งทรงริเริ่มโครงการความร่วมมือที่สำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนให้มีภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยที่ดี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการฝึกอบรมและศึกษาดูงานให้แก่คณะทำงานโครงการอาหารในโรงเรียนของภูฏาน

ต่อมาในปี 2554 จึงเริ่มดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในพระราชูปถัมภ์ขึ้นในโรงเรียนต่าง ๆ โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการของภูฏาน เช่น โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นยูรุง เมืองเพมากาตเชล โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นเกเนคา กรุงทิมพู และโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นวานาคา เมืองพาโร เป็นต้น

นอกจากพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยเสด็จฯ เยือนภูฏานหลายครั้งแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ของภูฏานก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยหลายครั้งเช่นกัน โดยเฉพาะสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ที่ได้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยทั้งทางการ และเป็นการส่วนพระองค์ นับจนถึงปัจจุบัน รวมจำนวน 8 ครั้งด้วยกัน อาทิ

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จฯ เยือนประเทศไทยเพื่อเยี่ยมชมสวนดอกไม้ของภูฏาน ในงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ณ จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระประชวร สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ได้มีพระบรมราชโองการให้วัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักรภูฏาน ร่วมกันสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล

เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต พระราชาธิบดีจิกมีและพระราชินีแห่งภูฏานก็ได้เสด็จฯ มาประเทศไทยด้วยพระองค์เอง เพื่อร่วมถวายความอาลัย แสดงให้เห็นถึงความเคารพและมิตรภาพในระดับสูงสุด

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงยกย่องพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นต้นแบบ และทรงศรัทธาในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทรงน้อมนำเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศภูฏานด้วย

ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างไทยและภูฏาน มิตรภาพของไทย-ภูฏาน จึงไม่ใช่เพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเท่านั้น แต่เป็นทั้งการเกื้อกูล และถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยการเสด็จฯ เยือนระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์ทั้ง 2 ประเทศ ยังสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่ยาวนานและแน่นแฟ้นระหว่างกันอีกด้วย

ที่มา : กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ, กรมประชาสัมพันธ์, www.thaigov.go.th, พระลาน