
ผู้เขียน : ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ ภาพ : เจตน์สฤษฎิ์ ชยธาดาธนะสกุล, ชัญญา พรรณศรี
เชื่อว่าทุกวันนี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก “ออน ล๊อก หยุ่น” (On Lok Yun) ร้านกาแฟและอาหารเช้าสุดโด่งดังในย่าน “วังบูรพาภิรมย์” ที่ซึ่งอดีตเคยเป็นย่านการค้าอันคึกคัก และเป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว หรือที่เรียกกันว่า “โก๋หลังวัง”
ออน ล๊อก หยุ่น เริ่มก่อตั้งกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) โดยตอนนี้มีทายาทรุ่น 3 และ 4 เป็นผู้สืบทอด แต่ใครจะรู้ว่าร้านกาแฟที่คงเสน่ห์และความคลาสสิกไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมมานานกว่า 92 ปี จนเป็นจุดเช็กอินของวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ก็เคยมีช่วงเวลาที่เกือบ “ไปไม่รอด” เหมือนกัน เพราะยุคแรกเริ่มก่อตั้ง คนไทยนิยมกินข้าว และไม่เข้าใจว่าเบรกฟาสต์ แฮม ไข่ ไส้กรอก ไข่ดาว คืออะไร
สภากาแฟโก๋หลังวัง สู่ยุคโซเชียล
“เฮียช้าง-สมบัติ ทยานุกูล” ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 3 ของครอบครัว เล่ากับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ย้อนไป 92 ปีที่แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) คุณพ่อซึ่งเดินทางมาจากเมืองจีนได้หุ้นกับเพื่อน 3 คนเปิดร้านกาแฟแห่งนี้ ในขณะที่พี่น้องทางพ่อไปเปิดร้านเพชรกันหมด
ออน ล๊อก หยุ่น ขายแบบนี้มาตั้งแต่แรก มีขนมปัง กาแฟ ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม วัตถุดิบเป็นของดี ก็เอามาจากพรรคพวกกัน แต่เมื่อขายไปได้สักระยะก็พบว่า สมัยนั้นคนไทยส่วนใหญ่ชอบกินข้าว ไม่ค่อยถนัดเบรกฟาสต์ หรืออาหารเช้าแบบโรงแรม ลูกค้าที่ร้านจะมีแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ธุรกิจจึงทำท่าว่าจะไปต่อไม่ได้ จนกระทั่งคุณพ่อและเพื่อน ๆ ก็เป็นอันต้องแยกทาง
จากนั้นคุณแม่ก็เข้ามารับช่วงต่อ นับเป็นรุ่นที่สอง แต่ทำไปก็เข้าอีหรอบเดิม เพราะคนไม่รู้จักอาหารแบบนี้ กินไม่เป็น เพราะสมัยก่อนแค่กินกาแฟกับไข่ลวกแล้วก็คุยเรื่องการเมือง เล่นพระ เป็นสภากาแฟ ไม่มีใครกินไข่ดาว ซึ่งคุณแม่ก็ยอมรับว่าท้อเหมือนกัน
แต่ด้วยความอดทนทำต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเชื่อว่าสักวันมันจะมาเอง จนกระทั่งช่วง พ.ศ. 2520 ย่านสยามสแควร์เริ่มบูม ฟาสต์ฟู้ด ไก่ทอด และแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นยุคนั้น อานิสงส์ก็ส่งมาถึงออน ล๊อก หยุ่นด้วย วัยรุ่นเริ่มมากิน กลายเป็นว่าถ้ามัวแต่ขายกาแฟกับไข่ลวกอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
“สมัยก่อนก็ขายไข่ดาว แฮม ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง แล้วก็มีทาเนย ตอนหลังก็ค่อย ๆ ปรับเพิ่มเมนูอย่างแซนด์วิชแฮมไข่ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเมนูเด็ด ลูกค้าส่วนใหญ่จะสั่ง ส่วนกาแฟก็คั่วเอง ชาที่ใช้เป็นชาซีลอน และชาจีนที่ผสมกันสามอย่าง ซึ่งเป็นตัวที่ลูกค้าชอบ”
ตั้งแต่ก่อตั้งร้านเมื่อ พ.ศ. 2476 ออน ล๊อก หยุ่น เริ่มขายตั้งแต่โอเลี้ยงแก้วละ 25 สตางค์ แม้จะค่อย ๆ ปรับราคาขึ้นตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันกาแฟก็ราคาแก้วละ 30 บาทเท่านั้น จริงที่ว่าการขึ้นราคาสูง ๆ จะลดต้นทุนของร้านได้ แต่จะเป็นการเพิ่มภาระให้ลูกค้า ปัจจุบันราคานี้เราก็อยู่ได้ เฮียช้างกล่าว
“คุณแม่ทำไว้ดีมาก เมื่อก่อนจะถือแก้วคอยเติมน้ำชาให้ลูกค้าเรื่อย ๆ โดยไม่คิดเงิน หมดก็เติม ๆ เพราะถือว่าเป็นการให้และบริการลูกค้ามากกว่า คุยกับลูกค้าแบบเป็นกันเองเหมือนญาติ ทำให้ออน ล๊อก หยุ่น มีลูกค้าประจำรุ่นสู่รุ่น เมื่อผมเข้ามาบริหารร้านต่อ ก็ยึดวิธีบริการแบบแม่เป็นตัวอย่าง ลูกค้าเข้ามาคุยก็สนุกดี เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน”
ออน ล๊อก หยุ่น เริ่มโด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวก่อนโควิด-19 ระบาด มีนิตยสารจากประเทศญี่ปุ่นมาถ่ายรูปและนำไปเผยแพร่ จนเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาก็เป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีน อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติชอบสไตล์เก่า ๆ และของที่ขายราคาถูก ยิ่งถูกเสริมพลังจากโซเชียลมีเดียเข้าไป เมื่อเริ่มทำเพจเฟซบุ๊กของร้าน รวมทั้งกระแสใน TikTok ทำให้ชาวอินเดียและชาวยุโรปแวะเวียนกันเข้ามา
“ผมก็งง ๆ ตอนแรก ว่าทำไมมีวัยรุ่น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ลูกค้าบอกว่าเห็นรูปร้านในนิตยสารที่อยู่บนเครื่องบิน ตอนหลังก็มากันหมดโดยเฉพาะคนจีน ถือว่าโชคดี อาจเพราะกระแสโซเชียลด้วย กับลูกค้าต่างชาติผมก็บริการเต็มที่หมด และราคาเราไม่สูง”
โควิดทำให้รู้ว่ารักงานนี้
เฮียช้างเล่าอีกว่า อาศัยอยู่ย่านนี้มาตั้งแต่เด็ก หลังวังบูรพาแต่ก่อนโด่งดังเหมือนสยามสแควร์ในปัจจุบัน มีโรงภาพยนตร์ถึง 4 โรง มีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และถัดไปก็เป็นตลาดขายผ้าพาหุรัด
ด้วยความที่เห็นอาชีพค้าขายมาตลอดตั้งแต่เด็ก จึงรู้สึกเบื่อและไม่อยากทำกิจการต่อจากที่บ้าน แต่ในที่สุดก็ต้องมาดูแลร้านต่อจากพี่ชายที่ไปบวช ซึ่งเหตุที่ทำให้รักและเต็มที่กับออน ล๊อก หยุ่น เป็นเพราะโควิด-19 เพราะต้องดิ้นรนเพื่อให้ลูกน้องอีก 10 กว่าชีวิตรอด
ช่วงโควิดถือว่าหนักมาก ตอนนั้นทุกร้านมืดมนเหมือนกันหมด แม้จะโชคยังดีว่าออน ล๊อก หยุ่น ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า เพราะตึกนี้คือบ้านของเราเอง แต่อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินเดือนลูกน้องโดยที่ไม่มีรายรับเข้ามา จึงปรึกษากับลูกสาวจนเกิดเป็นไอเดียขายข้าวไข่เจียว ใส่แฮม ไส้กรอก อยู่บนพื้นฐานของวัตถุดิบที่มี ขายทั้งหน้าร้านและมีบริการดีลิเวอรี่โดยที่เป็นคนขับไปส่งเองด้วย ซึ่งมีออร์เดอร์เข้ามาเรื่อย ๆ สาเหตุที่ต้องทำ เพื่อไม่ให้ร้านหลุดจากวงจร ไม่ให้หลุดจากกระแสโซเชียล คนอื่นดิ้นเราก็ต้องดิ้นเพื่อหาตัวเลขเข้ามา ได้น้อยหรือมากก็ต้องเอาทั้งหมด
ตอนนั้นเองทำให้เกิดแก้วกระดาษออน ล๊อก หยุ่น ขึ้นมา เพราะไม่ให้นั่งกินในร้าน ทำให้ใช้แก้วกระเบื้องไม่ได้ ลูกสาวจึงริเริ่มไอเดียนี้ขึ้นมา แม้ต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เป็นการสร้างแบรนด์ เพราะลูกค้าซื้อไปแล้วเป็นกิมมิกถ่ายรูปแก้วพร้อมชื่อร้านลงบนโซเชียล วิกฤตครั้งนี้จึงทำให้เราได้เรียนรู้เยอะมาก
“มันวิกฤตจริง ๆ เราจะดิ้นยังไง ลูกน้องเราตั้งหลายคน ถ้าไม่พยายาม เดี๋ยวเงินเก่าก็หมด กลายเป็นว่าพอหลุดพ้นวงจรโควิดมา ทำให้เราแกร่งขึ้น และทำให้ผมรู้ว่านี่แหละคือการทำในสิ่งที่เรารัก”
ขอแค่ออน ล๊อก หยุ่น คงอยู่
เฮียช้างกล่าวอีกว่า การส่งไม้ต่อของธุรกิจให้เป็นเรื่องของอนาคต แม้จะให้ลูกสาวมาช่วยดู ช่วยให้คำปรึกษา เพราะปัจจุบันนี้ทุกอย่างพัฒนาไปไกล ถ้ายอมรับและถึงเวลาต้องปรับตัวก็ต้องปรับ
ส่วนลูกสาวจะรับกิจการไปทำต่อหรือไม่ เรื่องนี้ไม่สามารถไปหวังได้ ต้องแล้วแต่ลูก และเราเองก็ขอแค่ให้ร้านสืบต่อไปได้ พูดจริง ๆ คือเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้ออน ล๊อก หยุ่น ยังคงอยู่ ถ้าอยู่ต่อไปก็สบายใจ
“ตอนนี้อายุ 63 ปีแล้ว ก็ยังทำไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ไหวก็จะนั่งดู และให้เด็ก ๆ ทำกันต่อไป ถ้าเขาอยากทำ ส่วนลูกจะสานต่ออย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องของลูก แต่เราขอแค่ว่าให้คงของเดิมเอาไว้ ถ้าจะเพิ่มเมนูก็ต้องเป็นสไตล์ง่าย ๆ แบบนี้ เพราะเราเป็นอาหารจานด่วน ต้องคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้” เฮียช้างกล่าว