Fora Bee จาก 4 ลังเลี้ยง สู่แบรนด์ 300 ล้าน ผลิตภัณฑ์จากผึ้งครบวงจร

Fora Bee
ยุทธพงษ์ เรืองศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ เฮลตี้ โปรดักส์ จำกัด

ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตน้ำผึ้งราว 1.3 หมื่นตันต่อปี โดยฟาร์มเลี้ยงผึ้งกว่า 80% อยู่ทางภาคเหนือ ภูมิภาคสำคัญในการป้อนน้ำผึ้งสู่โรงงานและแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อนำไปทำผลิตภัณฑ์ หนึ่งในนั้นคือ “Fora Bee” ที่เริ่มต้นจากการเป็นเกษตรกรเลี้ยงผึ้งในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก่อนจะผันตัวจากธุรกิจครอบครัวเป็นแบรนด์ส่งออกและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผึ้งแบบครบวงจร ผ่านการรับซื้อน้ำผึ้งจากฟาร์มเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริหารโดยทายาทรุ่นสอง ปีที่แล้วสร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาท

40 ปี จากรุ่นบุกเบิก สู่รายได้ 300 ล้าน

“นายยุทธพงษ์ เรืองศิริ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ เฮลตี้ โปรดักส์ จำกัด ทายาทรุ่นที่ 2 เผยว่า บริษัทเป็นธุรกิจเลี้ยงผึ้งรายแรก ๆ ในประเทศไทย โดยคุณพ่อ (นายสงวน เรืองศิริ) ได้บุกเบิกการเลี้ยงผึ้งเมื่อ 40 ปีก่อน จากการไปศึกษาด้านการเกษตรที่ไต้หวัน และได้ไปฝึกงานในบริษัทที่เลี้ยงผึ้ง

เมื่อกลับมาที่เมืองไทยจึงติดต่อขอซื้อพันธุ์ผึ้งจากบริษัทนั้น และเริ่มต้นจาก 4 ลังเลี้ยง จนกระทั่งถึงจุดพีกสุดที่ 1 หมื่นลังเลี้ยง เรียกว่าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศก็ได้ในเวลานั้น ซึ่งจำนวนการเลี้ยงเท่านี้หาได้ยากมากแล้วในปัจจุบัน จากปัญหาเรื่องแรงงานและสถานที่ตั้งฟาร์ม

Fora Bee

ปัจจุบัน บริษัท เชียงใหม่ เฮลตี้ โปรดักส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจเลี้ยงผึ้งแบบครบวงจร โดยรับซื้อผลผลิตทุกชนิดจากเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้ง ไขผึ้ง นมผึ้ง และเกสรผึ้ง เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผึ้ง และจำหน่ายอุปกรณ์ให้ผู้เลี้ยงผึ้งตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับฟาร์ม ภายใต้แบรนด์ Fora Bee

ด้วยความที่ตัวเองเรียนจบวิทยาศาสตร์อาหาร (ฟู้ดไซเอนซ์) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงพยายามต่อยอดผลผลิตจากการเลี้ยงผึ้งซึ่งเป็นสินค้าเกษตรอย่างหนึ่ง โดยนำมาพัฒนา เพิ่มการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเหล่านั้น โดยพยายามเน้นหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเลี้ยงผึ้ง

ADVERTISMENT

สำหรับ Fora Bee เองปัจจุบันรับซื้อน้ำผึงจากเกษตรกรเกือบ 100% เนื่องจากฟาร์มที่เคยมีในสมัยคุณพ่อ เกษตรกรได้ผันตัวไปเป็นเจ้าของฟาร์มเองหมดแล้ว จึงปรับเปลี่ยนเป็นการรับซื้อน้ำผึ้งในรูปแบบคอนแทร็กต์ฟาร์ม และนำผลผลิตมาแปรรูป โดยรับซื้อน้ำผึ้งจากเกษตกรราว 1,500-1,800 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 70-80 ล้านบาท จากเกษตรกรในคอนแทร็กต์มากกว่า 200 ฟาร์มทั่วประเทศ

Fora Bee

ผลผลิตจากผึ้งทุกชนิดได้มาจากการทำงานร่วมกับเกษตรกร โดยบริษัทมีการสนับสนุนทั้งอุปกรณ์การเลี้ยง การจัดฝึกอบรมการคัดสายพันธุ์ผึ้ง การผสมพันธุ์ผึ้งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ให้เกษตรกรคนเลี้ยงผึ้งมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ่งในทุกขั้นตอนของการเลี้ยงผึ้ง ทำให้ได้ผลผลิตจากผึ้งที่มีคุณภาพที่สุด

ปัจจุบัน Fora Bee ส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้งกว่า 60% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะ OEM (Origianl Equipment Manufacturer : ผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ของตัวเอง) โดยส่งออกไปที่มาเลเซียและสิงคโปร์เป็นหลัก ขณะที่อีก 40% จำหน่ายในประเทศ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักเป็นน้ำผึ้ง

“รายได้ของบริษัทอยู่ที่ราว 300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณ 5% ถ้านับเฉพาะผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งแม้ Fora Bee จะอยู่ในท็อป 3 ของประเทศ แต่ถือว่ามีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจนี้ แค่ในจังหวัดเชียงใหม่ก็มีผู้ประกอบการเกือบ 10 ราย และยังไม่นับผู้ผลิตในพื้นที่ภาคกลางอีก”

Fora Bee

ธุรกิจผึ้ง เหมือนเล่นหุ้น

นายยุทธพงษ์เผยว่า ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคน้ำผึ้งในประเทศไทยค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารที่นำน้ำผึ้งไปแปรรูปเพื่อใส่ในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น นมน้ำผึ้ง หรือเครื่องดื่มน้ำผึ้งมะนาว เป็นต้น โดยจะรับซื้อน้ำผึ้งจากเกษตรกรในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการผลิตน้ำผึ้งราว 1.3 หมื่นตันต่อปี จากฟาร์มที่ลงทะเบียนในกรมปศุสัตว์ประมาณ 1,300 ฟาร์ม โดย 80% อยู่ทางภาคเหนือ 10% ทางภาคอีสาน และกระจายอยู่ในภาคกลาง ส่วนภาคใต้นั้นมีจำนวนน้อยมาก

เกษตรกรจะเลี้ยงผึ้งเพื่อเอาน้ำผึ้งเป็นหลัก จากนั้นจะนำมาส่งขายให้โรงงาน ส่วนผลผลิตที่รองลงมาคือ ไขผึ้ง 300 ตันต่อปี ตามด้วยเกสรผึ้ง 50 ตันต่อปี และนมผึ้ง 20 ตันต่อปี ซึ่งปัจจุบันผลผลิตนมผึ้งจำนวนลดน้อยลงทุกปี เพราะต้องอาศัยแรงงานและทักษะในการผลิตค่อนข้างสูง บางฟาร์มจึงไม่ได้ผลิตแล้ว

ทั้งนี้ การเลี้ยงผึ้งแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ด้วยสภาพภูมิอากาศ แหล่งอาหารของผึ้ง และวัตถุประสงค์ของการเลี้ยง เช่น ประเทศบราซิล จะไม่ได้เลี้ยงเพื่อเอาน้ำผึ้งเป็นหลักเหมือนประเทศไทย แต่เลี้ยงเพื่อเอาโพรพอลิส (Propolis) เป็นหลัก นายยุทธพงษ์กล่าวเสริม

Fora Bee

น้ำผึ้งมาจากพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกสาบเสือ ลำไย และกาแฟ เป็นต้น แต่ที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ น้ำผึ้งจากดอกลำไย เพราะความหอมและคุณภาพที่คงที่ อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าจะนำน้ำผึ้งไปใช้ทำอะไร เพราะสรรพคุณนั้นใกล้เคียงกันอยู่แล้ว บางผลิตภัณฑ์ต้องการชูรสชาติและกลิ่นน้ำผึ้ง บางผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องการให้น้ำผึ้งไปกลบกิล่น เป้นต้น

ในประเทศไทย ปริมาณน้ำผึ้งแต่ละปีค่อนข้างสวิง และไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ สภาพอากาศ และผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นแหล่งอาหารของผึ้ง บางครั้งผึ้งกำลังจะบินไปเก็บน้ำหวานตอนดอกบานเต็มที่ แต่พายุเข้าดอกก็ร่วง แหล่งอาหารของผึ้งก็น้อยลง ทำให้ราคาน้ำผึ้งสูงขึ้น

สำหรับปีนี้ ผลผลิตทางการเกษตรดีสุดในรอบ 20 ปีก็ว่าได้ ทำให้ผลิตน้ำผึ้งได้เยอะ และราคาน้ำผึ้งถูกลง ธุรกิจนี้จะเปรียบเหมือนการซื้อขายหุ้นก็ได้ เกษตรกรบางรายก็เก็บน้ำผึ้งไว้รอเก็งราคาและค่อยปล่อยออกมาขาย

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change และภาวะโลกร้อน เป็นปัจจัยสำคัญของการเลี้ยงผึ้งในปัจจุบัน เนื่องจากการเลี้ยงผึ้งเกี่ยวข้องกับพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้ผึ้งต้องปรับตัว ส่งผลให้การเลี้ยงผึ้งยากขึ้นตามไปด้วย นายยุทธพงษ์กล่าว

Fora Bee