
‘พินิจ จารุสมบัติ’ รองนายกสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ร่วมกับ ซุน ชุนหลาน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ จัดงาน “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025” ฉลองความสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน มุ่งแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมในการประยุกต์ใช้ปรัชญาแห่งความปรองดอง
นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ซุน ชุนหลาน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ร่วมมือกันจัดงาน “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025” ฉลองความสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน เพื่อแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมในการประยุกต์ใช้ปรัชญาแห่งความปรองดองที่เป็นปรัชญาตะวันออก สร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ตลอดจนสร้างฉันทามติ เพื่อสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และก้าวสู่อนาคตอันสดใสร่วมกัน ที่โรงแรมแชงกรี-ลา
โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายซูโอะ ฟูคาดะ นายกสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น, นาโรมาโน โปรดี ประธานกิตติมศักดิ์ของเวทีการกุศลจีน-อิตาลี อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอิตาลี, นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี, Mr.firmin Edouard Matoko ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การยูเนสโก, นางหวัง เชา ประธานสมาคมการทูตจีน, นายหาน จื้อดฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำราชอาณาจักรไทยร่วมงาน

นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025” จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ประเทศไทยและประเทศจีนให้ความสำคัญของมิตรภาพระหว่างไทยกับจีนสูงมาก
ทางจีนให้เกียรติและให้ความสำคัญ นำสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ มาประชุมที่ประเทศไทยในครั้งนี้ และหัวใจสำคัญของสมาพันธ์ขอจื๊อนานาชาติได้เสนอสันติภาพสันติสุขของอารยธรรมโลก โลกนี้อยู่ด้วยกันด้วยความสงบร่มเย็น มีมิตรไมตรีเอื้ออาทร มีจิตวิญญาณแห่งความเสียสละ นี่คือเป้าหมายที่สำคัญของสมาพันธ์ขอจื้อนานาชาติ
ด้วยปรัชญาของขงจื๊อ กว่า 2,600 ปี ได้พูดถึงมวลมนุษยชาติ ว่าควรจะอยู่ร่วมกัน ด้วยความแบ่งปัน ด้วยสันติ ไปพร้อมกับลดความขัดแย้ง ลดการต่อสู้ สงคราม ซึ่งเข้ากับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน เมื่อเกิดสงครามความแตกแยกยุทธศาสตร์จีนก็พยายามนำเอาปราชญาขงจื๊อ วันนี้เรามีผู้นำจากหลายประเทศเดินทางมาเข้าร่วมงาน
งานในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์จีนให้แข็งแกร่ง พัฒนาเพิ่มขึ้น แลกเปลี่ยนในเรื่องของนักท่องเที่ยวจีนการส่งออกการร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนการท่องเที่ยว การศึกษาวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีครอบคลุมทั้งหมด
“ซึ่งงานครั้งนี้ได้รับการการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง จากสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำอาณาจักรไทย, สภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ โดยสถานทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นหน่วยสนับสนุน รวมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง, ศูนย์การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์วัฒนธรรมจีน ณ กรุงทพฯ ร่วมเป็นหน่วยงานผู้ร่วมจัด
ขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ปีนี้เรากำลังก้าวสู่ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งสำคัญมาก จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ สันติ สมานฉันท์ เกื้อกูล ผลักดันสร้างอารยธรรมให้รุ่งเรือง ก้าวหน้า การจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการตอบรับ วันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรมขององค์การสหประชาชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างจีน-ไทย อาเซียน และนานาชาติทั่วโลก ข้อริเริ่มอารยธรรมโลกเผยแพร่คุณค่าร่วมกับแห่งมวลมนุษยชาติ” นายพินิจกล่าว
ด้าน ซุน ชุนหลาน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวว่า ข้าพเจ้าดีใจและเป็นเกียรติที่ได้มาพบทุกท่าน เพื่อเข้าร่วมฟอรั่มอารยมธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025 เพื่อผนึกความคิดให้มีความก้าวหน้า สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ของเรามีผู้เข้าร่วมกว่า 122 ชาติ มีสถานะที่ปรึกษานานาชาติ จัดประชุมมา แล้ว 5 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 กว่าคน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วัฒนธรรม ไทย-จีน และครั้งนี้ได้ฉลอง 50 ปี
“สิ่งที่เราค้าขายไม่ใช่แค่ผ้า แต่เป็นมิตรภาพ ได้มีการเรียรู้วัฒนธรรม ที่ผ่านมาเราเรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน สืบสานจากรุ่นสู่รุ่น ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เยี่ยมเยือนกัน บรรลุความต้งการทั้งสองฝ่าย เพราะไทยจีนใช่อื่นไกลเป็นพี่น้องกัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศจีน เราบรรลุข้อตกลงต่าง ๆ มากมาย” ซุน ชุนหลาน กล่าว
ซุน ชุนหลาน กล่าวต่อว่าเราใช้ฟอรั่มแห่งการปรองดอง ขงจื๊อเรามีประวัติศาสตร์ยาวนาน สอนให้อยู่กันอยางปรองดองสันติ เราอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เคารพบุคคล ศาสนาพุทธเน้นความสายกลาง ไทยเคารพค่านิยม ยอมรับสิ่งแตกต่าง เป็นแดนดินแห่งรอยยิ้ม เราจึงเคารพซึ่งกันและกันเน้นปรองดอง อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ผมขอโอกาสนี้แสดงความขอบคุณคณะผู้จัดงานที่ได้จัดเวทีอันทรงคุณค่านี้ ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งในระดับภาครัฐ เวทีระหว่างประเทศ
เพื่อเป็นพื้นที่ในการส่งเสริมความเข้าใจ การรับฟังและการเคารพซึ่งกันและกัน และเป็นการอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง
เราต้องยอมรับว่าความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ มนุษยชาติต่างมีความช่วงเวลาของความไม่สงบ ความตึงเครียด และบางคร้ังก็จบลงด้วยความรุนแรง
ปัญหาเหล่านี้แม้มีรูปแบบที่หลากหลาย แต่กลับมีต้นเหตุร่วมกัน นั้นคือการไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง การไม่เกิดการรับฟังกัน
“ประเทศไทยเคยเผชิญกับสภาวะเช่นนั้น ทั้งความขัดแย้งกันทั้งระดับชาติ และท้องถิ่น พื้นที่ชายแดน มีทั้งการขัดแย้งกันทางการเมือง ทางสังคมทางท้องถิ่น การแก้ปัญหาเหล่านี้อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาเพียงลำพัง ต้องใช้ความเข้าใจ ความอดทนอดกลั้นและกระบวนการข้อพิพาทด้วยสันติวิธี เวทีเจรจายังคงเป็นรูปแบบที่จำเป็น เพื่อให้เกิดบทสนทนาที่เท่าเทียมกัน”
การสร้างรัฐอาจไม่ยากนัก อาจมีดินแดน ประชากร รัฐบาล อำนาจอธิปไตย ก็เกิดเป็นรัฐได้ แต่การสร้างชาติให้พร้อมด้วยอารยธรรมนั้นยากกว่ามาก
เพราะหมายถึงการให้ประชาชนทุกคน มีเจตจำนงที่มุ่งมั่นร่วมกัน มีฐานคิดร่วมกันบทหลักแห่งสันติภาพในฐานนะมนุษย์
พวกเราจำนวนมากมองความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่ต้องมีความเห็นต่าง ขัดแย้งกัน แต่การยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะจำนนแล้วปล่อยให้เกิดขึ้น โดยไม่ระมัดระวัง ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องที่ต้องทบทวน
การถอดบทเรียน เพื่อทำให้เราต่างต้องหาทางเลือก ทางออก ป้องกันการขยาย ความขัดแย้ง และร่วมกันแสวงหาวิธีการที่เหมาะสม ในการบริหารและจัดการความขัดแย้ง อย่างที่ประชาคมมนุษย์พึงทำ
ความขัดแย้งของมนุษยชาติไม่ใช่การปล่อยให้เกิดขึ้นและเป็นไป แต่หมายถึง การร่วมกันแสวงหาจุดเปลี่ยนผ่านที่ดีกว่า ด้วยวิธีการที่ทุกฝ่ายจำนวนมาก มีฉันทมติร่วมกัน ในบริบทของสถานการณ์เช่นนี้ หนทางแห่งการปรองดองจึงไม่ใช่เพียง การเจรจา หรือการต่อรอง เพียงประการเดียว หากแต่คือเจตจำนงแห่งการยอมรับความหลากหลาย ทั้งความคิด ความเชื่อ ความแตกต่าง หลายมิติ การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพยอมรับกัน ไม่ได้เกิดจากการบังคับ หากแต่ต้องสร้างให้เกิดเวทีที่มีกระบวนการสนทนาอย่างเท่าเทียม
เวทีดังกล่าวคือการรับฟังอย่างเข้าใจ ไม่ตัดสิน ไม่ประณามคนเห็นต่างและลดการใช้อคติส่วนตัว การใช้วิธีการบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์เวทีปรองดองสมานฉันท์ อันเป็นวัฒนธรรมแห่งอนาคตร่วมกัน
“ผมหวังว่า เวทีในวันนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการส่งเสริม การอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองในทุกระดับ โดยเริ่มต้นจากตัวเราทุกคน ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่สร้างสรรค์ และขอยืนยันว่า การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ไม่ใช่การกำหนดให้เราต้องเอาแต่ยอมจำนน หรือหวาดกลัว ไม่ต่อสู้ แต่คือ การทำให้เราทุกฝ่ายได้เรียนรู้ร่วมกันว่า เราควรใช้ทางเลือกใด ทรัพยากรใดที่จะเอื้ออำนวยให้เราเห็นทางออกที่มากมายกว่าทางเลือกซ้ำเดิม และแสดงออกถึงความรู้คิดทางปัญญาอันเป็นวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย ที่มีความสุขและความมั่นคงของมนุษย์และมีสังคมที่สงบ สันติ เป็นศูนย์กลาง”
การประชุมสัมมนาในปีนี้มีหัวข้อ หลักคือ “ความสามัคคีและการอยู่ร่วมกัน, การขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองและความก้าวหน้าของอารยธรรม” โดยยึดมุมมองระดับโลก และมุ่งเน้นการสนทนาเชิงลึกและการแลกเปลี่ยนความคิดของอารยธรรมหลากหลาย รวบรวมฉันทามติอันกว้างขวางในการรับมือกับความท้าทายของยุคสมัย และสร้างสรรค์แนวทางที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาร่วมกันของมนุษยชาติ
ในการประชุมที่ประเทศไทยในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 ท่านจากประเทศจีน ไทย และประเทศสมาชิกภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกจะมารวมตัวกัน อันประกอบไปด้วยแขกผู้มีเกียรติระดับสำคัญ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในสาขาการวิจัยด้านอารยธรรม เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ อธิการบดีมหาวิทยาลัย
รวมทั้งนักวิชาการรุ่นใหม่ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ที่จะมาร่วมกันอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างลึกซึ้งในแต่ละประเด็น “การสนทนาอารยธรรมกับการพัฒนาโลก” “นวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับการแลกเปลี่ยนทางมนุษยศาสตร์” “เยาวชนกับการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก” “การสืบทอดวัฒนธรรมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ” และหัวข้ออื่น ๆ และจะร่วมกันค้นหารูปแบบนวัตกรรมของการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรม และวางแผนพิมพ์เขียวอันยิ่งใหญ่สำหรับการพัฒนาอารยธรรมโลก