
เป็นวันสำคัญอีกวันของการ “ฉลองความสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน” ที่มุ่งแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมในการประยุกต์ใช้ปรัชญาแห่งความปรองดอง
“พินิจ จารุสมบัติ” รองนายกสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ “ซุน ชุนหลาน” ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ จัดงานใหญ่ “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025” ที่โรงแรมแชงกรี-ลา บางรัก
เพื่อสร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ตลอดจนสร้างฉันทามติ สร้างความไว้วางใจกันและกัน และก้าวสู่อนาคตอันสดใสร่วมกัน
“พินิจ” กล่าวว่า ไทยและจีนให้ความสำคัญเรื่อง “มิตรภาพ” สูงมาก ทางจีนให้เกียรตินำสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติมาประชุมที่ประเทศไทยในครั้งนี้ หัวใจสำคัญของสมาพันธ์ คือการเสนอสันติภาพ สันติสุขของอารยธรรมโลก โลกนี้อยู่ด้วยกันด้วยความสงบร่มเย็น มีมิตรไมตรี เอื้ออาทร มีจิตวิญญาณแห่งความเสียสละ
นี่คือเป้าหมายสำคัญของสมาพันธ์ ด้วยปรัชญาขงจื๊อ 2,600 ปี ที่พูดถึงมวลมนุษยชาติว่า ควรจะอยู่ร่วมกันด้วยความแบ่งปัน ด้วยสันติ ลดความขัดแย้ง ลดการต่อสู้ ไม่มีสงคราม ซึ่งเข้ากับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน
เมื่อเกิดสงคราม ความแตกแยก ยุทธศาสตร์จีนก็นำปรัชญาขงจื๊อมาใช้ วันนี้เรามีผู้นำจากหลายประเทศเดินทางมาร่วมงาน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่ง พัฒนา แลกเปลี่ยนเรื่องนักท่องเที่ยวจีน การส่งออก การร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษาวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำอาณาจักรไทย, สภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ โดยสถานทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นหน่วยสนับสนุน รวมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง, ศูนย์การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์วัฒนธรรมจีน ณ กรุงเทพฯ ร่วมเป็นหน่วยงานผู้ร่วมจัด
ขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ปีนี้เรากำลังก้าวสู่ 50 ปีแห่งปีทองของมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งสำคัญมาก จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “สันติ สมานฉันท์ เกื้อกูล ผลักดัน สร้างอารยธรรมให้รุ่งเรือง ก้าวหน้า”
งานนี้ไม่เพียงเป็นการตอบรับ “วันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรมขององค์การสหประชาชาติ” เท่านั้น แต่ยังเป็นมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจีน-ไทย อาเซียน และนานาชาติทั่วโลก
“ซุน ชุนหลาน” ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวว่า ดีใจและเป็นเกียรติที่ได้ร่วมฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดองประจำปี 2025 เพื่อผนึกความคิดให้ก้าวหน้า สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติมีผู้เข้าร่วม 122 ชาติ มีสถานะเป็นที่ปรึกษานานาชาติ จัดประชุมมาแล้ว 5 ครั้ง มีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน
“สิ่งที่เราค้าขายไม่ใช่แค่ผ้า แต่เป็นมิตรภาพ ได้เรียนรู้วัฒนธรรม สืบสานรุ่นสู่รุ่น ผู้นำสองฝ่ายได้เยี่ยมเยือนกัน บรรลุความต้องการ เพราะไทย-จีนใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเยือนประเทศจีน และบรรลุข้อตกลงต่าง ๆ มากมาย” ซุน ชุนหลาน กล่าว
เราใช้ฟอรั่มแห่งการปรองดอง ขงจื๊อมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สอนให้อยู่อย่างสันติ กลมกลืน เคารพบุคคล ศาสนาพุทธเน้นสายกลาง ไทยเคารพค่านิยม ยอมรับสิ่งแตกต่าง เป็นแดนดินแห่งรอยยิ้ม เคารพซึ่งกันและกัน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เวทีนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งในระดับภาครัฐ เป็นเวทีระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ส่งเสริมความเข้าใจ รับฟังและเคารพซึ่งกันและกันแบบปรองดอง
ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ มนุษยต่างมีช่วงเวลาของความไม่สงบ ตึงเครียด บางครั้งก็จบลงด้วยความรุนแรง
ปัญหาแม้มีรูปแบบหลากหลาย แต่กลับมีต้นเหตุร่วมกัน คือไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง ไม่รับฟังกัน
“ไทยเคยเผชิญกับสภาวะทั้งความขัดแย้งระดับชาติ และท้องถิ่น พื้นที่ชายแดน ขัดแย้งทางการเมือง ทางสังคม ท้องถิ่น การแก้ปัญหาอาจไม่ใช่การแก้เพียงลำพัง ต้องใช้ความเข้าใจ ความอดทน อดกลั้น และกระบวนการข้อพิพาทด้วยสันติวิธี เวทีเจรจาเป็นรูปแบบที่จำเป็น ให้เกิดบทสนทนาที่เท่าเทียมกัน”
การสร้างรัฐอาจไม่ยากนัก อาจมีดินแดน ประชากร รัฐบาล อำนาจอธิปไตย ก็เกิดเป็นรัฐได้ แต่การสร้างชาติให้พร้อมด้วยอารยธรรมนั้นยากกว่ามาก
เพราะหมายถึงการให้ประชาชนทุกคนมีเจตจำนงที่มุ่งมั่นร่วมกัน มีฐานคิดร่วมกันกับบทหลักแห่งสันติภาพในฐานะมนุษย์
เราอาจมองความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่การยอมรับให้เป็นเรื่องปกติก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะจำนนแล้วปล่อยให้เกิดขึ้น โดยไม่ระมัดระวัง ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องที่ต้องทบทวน
การถอดบทเรียนทำให้เราหาทางออก ป้องกันความขัดแย้ง และร่วมแสวงหาวิธีการที่เหมาะสม ในการบริหารจัดการอย่างที่ประชาคมมนุษย์พึงทำ
การร่วมกันแสวงหาจุดเปลี่ยนผ่านที่ดีกว่า และมีฉันทามติร่วมกันในบริบทของสถานการณ์เช่นนี้ หนทางแห่งการปรองดองจึงไม่ใช่เพียงการเจรจา หรือต่อรอง
หากแต่คือเจตจำนงแห่งการยอมรับความหลากหลาย ทั้งความคิด ความเชื่อ ความแตกต่าง หลายมิติ
การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพ ยอมรับกัน ไม่ได้เกิดจากการบังคับ หากแต่ต้องสร้างเวทีที่มีกระบวนการสนทนาอย่างเท่าเทียม
เวทีต้องรับฟังอย่างเข้าใจ ไม่ตัดสิน ไม่ประณามคนเห็นต่าง และลดอคติส่วนตัว
การใช้วิธีการบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์เวทีปรองดองสมานฉันท์ อันเป็นวัฒนธรรมแห่งอนาคตร่วมกัน
“เวทีในวันนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดองในทุกระดับ เริ่มต้นจากตัวเราทุกคน ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่สร้างสรรค์”
ขอยืนยันว่าการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ไม่ใช่การกำหนดให้เราต้องยอมจำนน หรือหวาดกลัว ไม่ต่อสู้ แต่คือการทำให้เราได้เรียนรู้ร่วมกันว่า เราควรใช้ทางเลือกใด ทรัพยากรใดที่จะเอื้อให้เราเห็นทางออก
โดยแสดงถึงความรู้คิดทางปัญญาอันเป็นวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย ที่มีความสุข มั่นคง มีสังคมที่สงบ สันติ และเป็นศูนย์กลาง
การประชุมปีนี้หัวข้อหลักคือ “ความสามัคคีและการอยู่ร่วมกัน, การขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง และความก้าวหน้าของอารยธรรม” โดยยึดมุมมองระดับโลก มุ่งเน้นการสนทนาเชิงลึก และแลกเปลี่ยนความคิดของอารยธรรมที่หลากหลาย
ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยมี 200 กว่าท่านจากประเทศจีน-ไทย และประเทศสมาชิกในภูมิภาคทั่วโลก มารวมตัวแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างลึกซึ้งในแต่ละประเด็น
รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ อธิการบดีมหาวิทยาลัย นักวิชาการรุ่นใหม่ในทุกสาขาวิชาชีพ ต่างมาร่วมสนทนาอารยธรรมกับการพัฒนาโลก ในหัวข้อ “นวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับการแลกเปลี่ยนทางมนุษยศาสตร์”
เป็นการสืบทอดวัฒนธรรม ร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อจัดทำเป็น “พิมพ์เขียว” สำหรับการพัฒนาอารยธรรมโลก