
เมื่อการปฏิวัติ ใน พ.ศ.2475 เป็นความลับที่ห้ามแพร่งพราย มีคณะผู้ก่อการเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ แล้วสมาชิกคณะราษฎรบอกกับภรรยาตัวเองก่อนออกไปปฏิบัติการสำคัญ ในย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน ว่าอย่างไร
เวลาย่ำรุ่งของวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 “คณะราษฎร” ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการฝ่ายทหารบก ทหารเรือ พลเรือน และราษฎร ได้ร่ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ
โดยมีนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้าคณะ และมีสมาชิกทั้งสิ้น 102 คน แบ่งเป็นสายทหารบก 34 นาย สายทหารเรือ 18 นาย สายพลเรือน 50 คน แม้จะมีสมาชิกราวร้อยคนเศษ แต่ก็สามารถยึดอำนาจการปกครองได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงประทับอยู่ที่วังไกลกังวล หัวหิน โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประธานอภิรัฐมนตรีสภาและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รักษาการพระนคร

ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 93 ปีที่แล้ว การปฏิวัติของคณะราษฎรเป็นการลงมืออย่างฉับพลัย ซึ่งไม่สามารถให้ผู้คนจำนวนมากล่วงรู้แผนการได้ ดังเช่น เหตุการณ์ ร.ศ. 130 ที่มีการประชุมนักเรียนนายร้อยจำนวนมาก จนในที่สุดแผนการก็รั่วไหล
การปฏิวัติ พ.ศ.2475 จึงเป็นการทำในทางลับ แบ่งผู้ก่อการเป็นกลุ่มเล็ก 5-6 คน ไม่มีใครรู้จักสมาชิกทั้งหมด หากโดนจับก็โดนแค่ในกลุ่ม ไม่โดนทั้งหมด ซึ่งต่างคนต่างมีหน้าที่ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน เมื่องานจบแล้วจึงค่อยมาเจอกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม
แต่นอกจากสมาชิกคณะราษฎรแล้ว บรรดาภรรยาของสมาชิกคณะราษฎร รู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในรุ่งสางของวันที่ 24 มิถุนายน หรือไม่ หรือพวกเธอเหล่านั้นมีบทบาทและท่าทีอย่างไรบ้างต่อการปฏิวัติครั้งนี้
ข้อมูลจากหนังสือ “หลังบ้านคณะราษฎร” โดย “ชานันท์ ยอดหงษ์” ระบุว่า ก่อนปฏิวัติ สมาชิกในคณะราษฎรมักแต่งงานกับหญิงชาวบ้าน หญิงกระฎุมพีที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ หรือลูกหลานข้าราชการทั่วไป เนื่องจากอยู่ในสถานะทางสังคมที่ใกล้เคียงกัน และมีความใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว
แต่สำหรับ “ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์” ภรรยาของ “ปรีดี พนมยงค์” เป็นลูกสาวของ “มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา” (ขำ ณ ป้อมเพชร์) กับ “คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตฯ” (สกุลเดิม สุวรรณศร) โดยฝั่งแม่ของท่านผู้หญิงพูนศุขยังมีความใกล้ชิดกับ “ปั้น สุขุม” (เจ้าพระยายมราช) ซึ่งช่วยให้ปรีดีสามารถนับญาติและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของชนชั้นเจ้าในขณะนั้นอย่างใกล้ชิด

ในการปฏิวัติ 2475 คณะราษฎรตัดภรรยาไม่ให้มามีส่วนร่วม หรือหลีกเลี่ยงที่จะประชุมวางแผนในบ้านสมาชิกที่แต่งงานแล้ว และกำชับไม่ให้สมาชิกเผยแผนการนี้ให้กับภรรยาคู่ชีวิต
ปรีดี พนมยงค์ เองก็โกหกภรรยาว่า “ไปขอลาบวชกับพ่อแม่ที่อยุธยา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านผู้หญิงพูนศุขใกล้ชิดกับชนชั้นเจ้าอย่างมาก ปรีดีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดย “ประยูร ภมรมนตรี” หนึ่งในคณะราษฎร บันทึกไว้ว่า
“ในที่สุดก็พาไปหาคุณปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมาเป็นลูกเขยของพระยาชัยพิชิต ณ บ้านป้อมเพชร รู้สึกตื่นเต้นที่ข้าพเจ้าได้กลับมาถึงพระนครว่าตั้งใจรอคอยอยู่นาน แต่พูดจาเรื่องการบ้านการเมืองแต่ประการใดกันไม่ได้ เพราะภรรยามานั่งคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา ก็เลยนัดพบกันที่สำนักงาน ณ กรมร่างกฎหมาย”
ด้าน “วัน ชูถิ่น” (พระประศาสน์พิทยายุทธ) 1 ใน 4 ทหารเสือคณะราษฎร ก็โกหกครอบครัวว่าไปซ้อมรบ ในบันทึกเขากล่าวว่า “ตามวิสัยของทหาร เราไม่แสดงกริยาอาการให้บุตรภรรยาทราบเลยแม้แต่น้อย เพราะสตรีย่อมมีความกลัววิตกวิจารณ์มาก ทหารมีวินัยห้ามเด็ดขาด ไม่ให้บอกกิจการอะไรแก่สตรี”
เช่นเดียวกัน “ควง อภัยวงศ์” ก็โกหก “เลขา อภัยวงศ์” ภรรยาว่าออกไปขี่ม้ากับ “ทัศนัย มิตรภักดี” แม้ว่าภรรยาของเขาจะรู้จักคุ้นเคยกับสมาชิกคณะราษฎรกลุ่มแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2469 เมื่อเป็นนักศึกษาไทยในฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกคณะราษฎรบางคนยอมเผยความลับสำคัญนี้กับภรรยา แม้ว่าจะเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงอันตราย นั้นคือ “พจน์ พหลโยธิน” (พระยาพหลพลพยุหเสนา) บอก “บุญหลง” (ท่านผู้หญิงบุญหลง พหลโยธิน) ผู้เป็นภรรยาอย่างตรงไปตรงมาเป็นการส่วนตัวในเย็นวันที่ 23 มิถุนายน แม้ว่า “เทพ พันธุมเสน” (พระยาทรงสุรเดช) เคยกำชับว่าห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาดนอกจากผู้ร่วมเป็นร่วมตายเท่านั้น
แต่พระยาพหลเห็นว่า ภรรยาคือคู่ชีวิตและเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายเช่นกัน โดยเต็มไปด้วยความกังวล ลังเลใจเป็นห่วงภรรยาและลูก ว่าหากปฏิวัติไม่สำเร็จจะถูกสั่งประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต แล้วครอบครัวจะอยู่อย่างลำพัง ซึ่งสำหรับพระยาพหลแล้วเห็นว่าน่าจะตายมากกว่ารอด
แต่เมื่อปรึกษาสั่งเสียกับบุญหลงผู้เป็นภรรยา เธอเห็นด้วย และสนับสนุนการปฏิวัติอย่างยิ่ง ตกปากรับคำสั่งเสียอย่างดีและเป็นกำลังใจให้สามีจนหมดห่วง
นอกจากนี้พระยาพหลยังให้เธอเป็นผู้ตระเตรียม อาหารก่อนออกไปปฏิวัติ และปลุกตอน 03.00 น. พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกต้อนรับ วัน ชูถิ่น ที่จะขับรถมารับที่บ้านในเวลา 03.30 น. ซึ่งเธอปฏิบัติด้วยความรอบคอบ
เช่นเดียวกับ “เฉลิม สุวรรณชีพ” ภรรยาและที่ปรึกษาหาของ “สังวร สุวรรณชีพ” ซึ่งล่วงรู้การเมืองมาตลอดตั้งแต่ปัญหาระหว่างวางแผนปฏิวัติ ไปจนถึงความขัดแย้งภายในคณะราษฎรผ่านคำบอกเล่าของสามี ในช่วงที่วางแผนจะลงมือปฏิวัติในวันที่ 20 มิถุนายน ก่อนเกิดการโต้เถียงใหญ่โตระหว่างสมาชิก จนต้องเลื่อนวัน
เมื่อกลับบ้าน เฉลิมสังเกตเห็นว่า สังวรมีอาการกังวลนอนไม่หลับ จึงแนะว่าให้เลิกเสียดีกว่าเพราะจะพากันล้มตายหมด แต่สังวรก็ยังคงดำเนินการต่อ และได้นัดกับบรรดาทหาร 21 นายที่บ้านของเขาเพื่อเตรียมตัวในเย็นวันที่ 23 มิถุนายน ซึ่งเฉลิมก็ได้เลี้ยงอาหารต้อนรับอย่างดี ก่อนเขาจะสั่งเสียภรรยาและจูบลูกก่อนออกจากบ้าน
เมื่อปฏิวัติแล้ว บรรดาภรรยาคณะราษฎรก็ยังคงทำหน้าที่แม่บ้านดังเดิม ทั้งยังเลี้ยงลูกและพึ่งพิงรายได้สามีเป็นหลัก ตามสำนึกคิดกระฎุมพีที่ผู้หญิงมีบทบาทภายในบ้านและครอบครัวมากกว่านอกบ้าน ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวงานราชการหรือการเมือง ดังที่ท่านผู้หญิงพูนศุข กล่าวว่า “สามี-ภรรยาไม่ควรจะก้าวก่ายงานซึ่งกันและกัน แบ่งภาระหน้าที่ ปฏิบัติทั้งในและนอกบ้านให้ชัดเจน”
ที่มา
- หนังสือ หลังบ้านคณะราษฎร : ความรัก ปฏิวัติ และการต่อสู้ของผู้หญิง โดย ชานันท์ ยอดหงษ์
- ปาฐกถาและเสวนา (อ่าน) 90 ปี คณะราษฎร อดีต ปัจจุบัน อนาคต งาน “90 ปี 2475 อภิวัฒน์สยาม”
- พูนศุข พนมยงค์ : สตรีในประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์ไทย
- 24 มิถุนายน 2475 : อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย
- บทบาทและท่าที “หลังบ้านคณะราษฎร” ก่อนและหลังปฏิวัติ 2475