บทสรุป บอลโลก 2018 ปีแห่งความเหนือคาด

 รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง

เวลา 1 เดือนแห่งความบันเทิงของคอลูกหนังจบลงไปแล้ว การแข่งขันฟุตบอลโลก 64 แมตช์ ณ ประเทศรัสเซีย ปิดฉากลงด้วยชัยชนะของทีมตราไก่ ฝรั่งเศส คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ไปครอง ทีมอันดับ 2 คือโครเอเชีย อันดับ 3 เบลเยียม อันดับ 4 อังกฤษ เป็นปีที่ทีมจากยุโรปครองทั้ง 4 อันดับแรก

นอกจากลุ้นว่าถ้วย World Cup เป็นของทีมไหนแล้ว ฟุตบอลโลกแต่ละครั้งก็ยังมีรางวัลอื่น ๆ ที่สำคัญ ๆ อีก และในปีนี้ แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าตัวความหวังของอังกฤษคว้ารางวัลโกลเด้นบูต หรือรองเท้าทองคำกลับบ้าน ด้วยจำนวนการทำประตู 6 ประตู ขณะที่รางวัลโกลเด้นบอล หรือลูกบอลทองคำที่มอบให้นักเตะที่ทำผลงานดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์ตกเป็นของ ลูก้า โมดริช กองกลางที่เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการของทีมชาติโครเอเชีย คีเลียน เอ็มบัปเป้ ศูนย์หน้าวัย 19 ปีของฝรั่งเศสคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม

สถิติภาพรวมของฟุตบอลโลก 2018 มีจำนวนประตูเกิดขึ้นทั้งหมด 169 ประตู ใบเหลือง 219 ใบแดง 4 การจ่ายบอลสำเร็จ 49,651 ครั้ง จำนวนสกอร์เฉลี่ยแมตช์ละ 2.6 ประตู และเป็นฟุตบอลโลกที่มีสกอร์เกิดขึ้นเกือบทุกแมตช์

ทีมที่ทำประตูมากที่สุดคือ เบลเยียม จำนวน 16 ประตู (ทำประตูตัวเอง 1) ทีมที่จ่ายบอลสำเร็จมากที่สุดคืออังกฤษ จำนวน 3,336 ครั้ง ทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดคือโครเอเชีย ทำเกมรุก 352 ครั้ง ส่วนทีมที่มีเกมรับดีที่สุดก็คือโครเอเชียเช่นกัน โดยมีการเคลียร์บอล เข้าปะทะแย่งบอล และเซฟ 301 ครั้ง ซึ่งที่ตัวเลขสูงกว่าทีมอื่นอาจจะเป็นเพราะโครเอเชียเป็นทีมที่ลงสนามเป็นเวลานานที่สุด ต้องต่อเวลา เล่น 120 นาทีถึง 3 นัด

หลายเหตุการณ์ หลายสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ถือว่าเป็นปีแห่งความเหนือคาดที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกก็ว่าได้ มีอะไรที่เป็นที่สุดในปีแห่งความเหนือคาดนี้บ้าง เรารวบรวมไว้ได้ดังนี้

1.ทีมใหญ่นัดกันตกรอบ : ตั้งแต่ก่อนเปิดสนาม การที่อิตาลี ทีมแชมป์โลก 4 สมัย และทีมดังอย่างเนเธอร์แลนด์ ไม่ได้เข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก็ว่าเป็นอะไรที่เหนือคาดแล้ว แต่พอเปิดสนามเท่านั้นแหละ ความเหนือคาดยังมีให้เห็นอีกเยอะ บรรดาทีมใหญ่รีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านตาม ๆ กัน ไล่มาตั้งแต่เยอรมันที่ตกรอบแบ่งกลุ่ม อาร์เจนตินา สเปน สองทีมดีกรีแชมป์โลกไปได้ไกลสุดแค่รอบ 16 ทีม เช่นกันกับโปรตุเกสของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต่อด้วยบราซิล แชมป์โลก 5 สมัย จอดป้ายที่รอบควอเตอร์ไฟนอล (รอบ 8 ทีม)

REUTERS/Michael Dalder

2.เยอรมันตกรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกในรอบ 80 ปี : เยอรมัน แชมป์เก่าและหนึ่งในเต็งแชมป์ปีนี้ ทำช็อกกันทั้งโลกด้วยการแพ้ตั้งแต่นัดแรก และปิดประตูความหวังป้องกันแชมป์ด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นการตกรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกในรอบ 80 ปี

3.อังกฤษมาไกลเกินคาด : อังกฤษเป็นทีมดังที่มีกองเชียร์เยอะ แต่เป็นม้านอกสายตาในบอลโลกครั้งนี้ ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์พวกเขาไม่ได้ถูกตั้งความหวังมากนัก กูรูนักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไกลสุดได้แค่เข้ารอบ 8 ทีม ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ในทีม ทั้งนักเตะประสบการณ์น้อย ไม่มีระดับบิ๊กเนม รวมถึงโค้ช กาเร็ธ เซาธ์เกต ก็ถือว่าเป็นโค้ชโลว์โปรไฟล์ (แม้ว่ามีชื่อเสียงระดับหนึ่งในฐานะนักเตะ) แต่พลพรรคสิงโตคำรามกลับทำเซอร์ไพรส์ จนเกิดกระแส “It’s coming home” ในหมู่กองเชียร์ชาวอังกฤษที่คาดหวังว่า “ฟุตบอลจะกลับบ้านเกิด” (การแข่งขันฟุตบอลสมัยใหม่กำเนิดที่ประเทศอังกฤษ) และพวกเขาก็มาไกลถึงอันดับที่ 4

4.ใช้ “แฟร์เพลย์” ครั้งแรก ช่วยญี่ปุ่นเข้ารอบ : จากที่ฟีฟ่ากำหนดเงื่อนไขตัดสินทีมที่จะได้เข้ารอบไว้ 8 ข้อ ซึ่ง “คะแนนแฟร์เพลย์” อยู่ในข้อที่ 7 ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกได้นำคะแนนแฟร์เพลย์มาใช้ตัดสิน โดยได้ใช้ในกลุ่ม H ซึ่งญี่ปุ่นมีคะแนนและประตูได้-เสียเท่ากันกับเซเนกัล และเฮดทูเฮดเสมอกัน พิจารณาตามกฎทุกข้อแล้ว จนต้องตัดสินด้วยคะแนนแฟร์เพลย์ ซึ่งญี่ปุ่นโดนใบเหลืองน้อยกว่าเซเนกัล จึงมีคะแนนแฟร์เพลย์ดีกว่า ได้เข้ารอบ 16 ทีมแบบโชคช่วย

5.พลังหนุ่มเหนือกว่าความเก๋า : เรื่องประสบการณ์ เป็นเรื่องที่ผู้สันทัดกรณีหลายคนเป็นห่วง เพราะแม้นักเตะหนุ่มจะมีความเร็ว มีพละกำลังมากกว่าก็จริง แต่ในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ที่ไม่ต้องยืนระยะการแข่งขันนาน ความเก๋าเกมมักจะได้เปรียบ แต่ครั้งนี้ผิดคาด เพราะทีมนักเตะพลังหนุ่มพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเอาชนะความเก๋าได้ ดูจากอายุเฉลี่ยของทีมที่มีรางวัลกลับบ้าน เทียบกับบรรดาทีมดังที่ตกรอบไปก่อนหน้านั้น ฝรั่งเศส ทีมแชมป์ อายุเฉลี่ย 26 ปี โครเอเชีย 27.9 ปี เบลเยียม 27.6 ปี อังกฤษ 26 ปี ส่วนบราซิล 28.6 ปี อาร์เจนตินา 29.3 ปี สเปน 28.4 ปี โปรตุเกส 28.3 ปี เยอรมัน 27.1 ปี

6.นักเตะพรีเมียร์ลีกเข้ารอบลึกกว่าทุกลีก : ถ้าจัดอันดับลีกฟุตบอลยุโรป โดยเรียงตามคุณภาพ ความเขี้ยว ชื่อชั้นนักเตะ และความสำเร็จของทีมในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก พรีเมียร์ลีกของอังกฤษไม่ได้อยู่อันดับ 1 เพราะเป็นรองลาลีกา สเปน เป็นรองหรือพอ ๆ กันกับกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี และบุนเดสลีกา เยอรมัน แต่ลีกอังกฤษเป็นลีกที่ช็อปนักเตะจากต่างแดนเข้าไปรวมกันมากที่สุด ดังนั้นฟุตบอลโลกครั้งนี้ พรีเมียร์ลีกจึงเป็นลีกที่มีนักเตะได้ไปบอลโลกมากที่สุด 108 คน ตามด้วยลาลีกา สเปน 78 คน บุนเดสลีกา เยอรมัน 62 คน

ที่สำคัญนักเตะพรีเมียร์ลีกได้เข้ารอบเซมิไฟนอล (รอบ 4 ทีมสุดท้าย) มากกว่าลีกอื่น โดย 4 สโมสรที่มีนักเตะเข้ารอบเซมิไฟนอลมากที่สุด ได้แก่ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 9 คน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7 คน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 7 คน และ เชลซี 5 คน เฉพาะการแข่งขันนัดชิงที่ 3 ระหว่างอังกฤษกับเบลเยียมนั้น ก็เหมือนได้ดูทีมรวมดาวพรีเมียร์ลีกแข่งกัน

7.เป็นปีแห่งความสำเร็จอีกขั้นของทีม France 98 : ไม่ได้เหนือคาดที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ พาฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เพราะเขาพิสูจน์ตัวเองมานานพอสมควรแล้วว่าเป็นโค้ชฝีมือดีคนหนึ่งของวงการลูกหนัง แต่ที่เหนือคาดในแง่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงและจับมาเชื่อมโยงกันคือ ปีนี้ครบรอบ 20 ปีนับตั้งแต่ที่ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรก

พอดิบพอดีเป็นปีที่ผลผลิตชุด France 98 ต่างก็ผงาดขึ้นอีกขั้นในโลกลูกหนัง เห็นมาตั้งแต่ในระดับสโมสร ซีเนอดีน ซีดาน พาเรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จขั้นสุด จนไม่เหลือความท้าทาย ส่วน เดส์ชองส์ กัปตันทีมของซีดานเมื่อปี 98 ก็ประสบความสำเร็จด้วยการพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกอย่างเหมาะเจาะ ขณะที่ เธียรี่ อองรี ศูนย์หน้าดาวรุ่งของฝรั่งเศสชุดนั้นก็ผันตัวมาเป็นโค้ช โดยทำหน้าที่ผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเบลเยียม ดูแลเกมรุกของทีมที่ทำให้เบลเยียมเป็นทีมที่มีเกมรุกสุดร้ายกาจอย่างที่เห็น ในเมื่อทุกอย่างมันปูทางมาอย่างนี้ จะไม่หยิบสตอรี่นี้มาเชื่อมโยงกันก็คงน่าเสียดาย

REUTERS/Damir Sagolj

8.โครเอเชีย ความเหนือคาดที่คู่ควร : ถ้าให้โหวตทีมขวัญใจคนดู แบบไม่มีสัญชาติมาเป็นข้อจำกัด โครเอเชียน่าจะเป็นทีมนักสู้ที่ได้ใจคนดูมากที่สุด โครเอเชียไม่ใช่ทีมใหญ่มีชื่อเสียง ไม่อยู่ในลิสต์ทีมเต็งอันดับต้น ๆ การที่ทีมตราหมากรุกผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศถือเป็นเรื่องเหนือคาด แต่เป็นความเหนือคาดที่โครแอตคู่ควร ไม่มีเรื่องโชคเรื่องดวงอะไรมาช่วย นักเตะโครแอตมีสปิริตนักสู้เกินร้อยจริง ๆ สู้จนถึงวินาทีสุดท้าย เล่นต่อเวลา 120 นาที ทั้งในรอบ 16 ทีม รอบ 8 ทีม และรอบตัดเชือก แม้แต่ในรอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส สถิติของโครแอตก็เหนือกว่าฝรั่งเศสเกือบทุกอย่าง เพียงแต่พวกเขาจบสกอร์ได้น้อยกว่า จึงทำได้เพียงที่ 2 แต่ก็เป็นผู้แพ้ที่ได้ใจคนดูกลับบ้านอย่างล้นหลาม

REUTERS/Henry Romero

9.ซูเปอร์สตาร์พาทีมไปไม่รอด : อาร์เจนตินามีเมสซี่ โปรตุเกสมีโรนัลโด้ บราซิลมีเนย์มาร์ อียิปต์มีซาลาห์ แต่ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นทีมละ 11 คน และมีองค์ประกอบหลายอย่างในทีมเป็นปัจจัยร่วม ในอดีตอาจจะมีนักเตะพรสวรรค์ตัวคนเดียวที่พาทีมไปถึงฝั่งฝัน แต่ฟุตบอลยุคปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว บรรดาซูเปอร์สตาร์ต่างก็แบกทีมไปสู้กับทีมที่ทีมเวิร์กดี ๆ ไม่ได้ หรือแม้แต่ทีมที่มีสตาร์มากกว่า 1 คน แต่ทีมเวิร์กไม่ดี โค้ชไม่เก่ง ก็ไปได้ไม่ถึงไหน อย่างเช่น อาร์เจนตินา เป็นต้น

10.ฟุตบอลทำให้กำแพงต่ำลงกว่าที่คิด : ก่อนหน้าที่ฟุตบอลโลกจะเปิดสนาม มีหลายเรื่องน่ากังวล ทั้งเรื่องทางการเมืองที่รัสเซียมีปัญหากับหลายประเทศ และเรื่องทางสังคม อย่างการต่อต้านกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) มีคำเตือนสำหรับกลุ่ม LGBTQ ที่จะไปชมฟุตบอลโลกให้ระวังตัว อย่าเปิดเผยรสนิยมทางเพศ และระวังเรื่องความรุนแรงในการเชียร์ฟุตบอล ซึ่งฮูลิแกนรัสเซียนั้นขึ้นชื่ออย่างมาก แต่ปรากฏว่าฟุตบอลโลกก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ฟุตบอลเป็นยาวิเศษจริง ๆ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงและทำให้สนุกแล้ว ยังช่วยลดกำแพง ลดอคติของผู้คนลงด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็น หลายแง่มุม หลายสถิติที่น่าสนใจ ถ้านั่งนึกเขียนไปเรื่อย ๆ ก็คงจะยาวไปเรื่อย ๆ เอาเป็นว่า พอแค่ 10 ข้อที่สุดประทับใจนี้ก่อน แล้วเจอกันใหม่เมื่อเวิลด์คัพ 2022 คิกออฟ