ตูน บอดี้สแลม : ใช้ชีวิตบนความคาดหวังของตัวเอง ไม่ใช่ของคนอื่น

สัมภาษณ์พิเศษ
รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง


#ใช้ชีวิตให้สนุกครับ

เราเห็นข้อความนี้ในเกือบทุกโพสต์ในอินสตาแกรมของตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม หรือ “พี่ตูน ก้าวคนละก้าว” ผู้วิ่งจากใต้สุดขึ้นเหนือสุด 2,215 กิโลเมตร

ภาพด้านหนึ่งที่ผู้คนได้เห็นและสัมผัส ตูนเป็นคนไนซ์กับทุกคน และสุภาพอ่อนน้อมมาก ๆ แต่ขณะเดียวกัน ในตัวตนที่แสนสุภาพอ่อนน้อมนี้ก็มีทั้งความบ้าระห่ำ ความดื้อ และความมุ่งมั่นกับความต้องการของตัวเองแบบไม่สนคำทัดทาน

ด้านหนึ่งที่เห็น ผู้ชายคนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวด เป็นคนเครียด จริงจัง แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ยิ้มจนตาหยี และใช้ชีวิตสนุกแบบไร้ขีดจำกัด กระโดดโลดเต้น วิ่งพล่านบนเวทีคอนเสิร์ต กระทั่งปีนเสาไฟบนเวที

ด้วยความหลากหลายที่อยู่รวมกันในตัวตนของผู้ชายคนนี้ เราจึงได้เห็นเขาทำสิ่งที่เหนื่อย หนัก และสนุกในเวลาเดียวกันเสมอ ๆ

ภาพจากอินสตาแกรม artiwara

“ได้เลย สบายมากครับ ตอบได้ทุกคำถามครับ แต่เสียงผมจะเบาหน่อยนะ” ประโยคแรกของตูน บอดี้สแลม เมื่อเราบอกว่าจะถามประเด็นเกี่ยวกับอะไรบ้าง พิสูจน์ว่าความไนซ์ของตูนยังคงสม่ำเสมอกับทุกคน ทุกเวลา แม้ว่าตอนที่เราสัมภาษณ์เขาคือเวลาทุ่มกว่า ในวันที่เขาตื่นนอนและทำงานมาตั้งแต่เช้ามืด

ตูนเป็นคนที่มีหลายบทบาท หลัก ๆ ที่เห็นคือเขาเป็นนักร้อง-นักดนตรีระดับซูเปอร์สตาร์ และอีกบทบาทหนึ่งที่ได้รับคำชื่นชมจากคนทั่วประเทศ คือ บทบาทนักวิ่งเพื่อการกุศล แต่ก่อนหน้านี้ตูนทำมาหลายอย่าง เป็นนักฟุตบอลทีมโรงเรียน เป็นนิสิตคณะนิติศาสตร์ เป็นสจ๊วต เป็นนักปิงปอง และสิ่งที่เป็นควบคู่กับบทบาทอื่นมาตลอดคือการเป็นนักร้อง-นักดนตรี

ในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาแต่ละครั้ง ผู้ชายคนนี้บาลานซ์อย่างไรระหว่างตัวตนที่สร้างขึ้นมาใหม่ กับตัวตนเดิมของเขา ซึ่งมันก็ดีมากอยู่แล้ว ?

ตูนบอกว่า ทุกครั้งที่ทำอะไรใหม่ ๆ ไม่เคยคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือทำไปเพื่ออะไร แต่ทำเพราะความสนุกเท่านั้น

“จริง ๆ ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมใหม่ ๆ หรือเลือกทำอะไรที่ท้าทายตัวเองในรูปแบบอื่นบ้าง ผมว่าเราไม่ได้มองหรอกว่าเราจะทำไปเพื่อเปลี่ยนตัวเอง หรือจะสร้างตัวตนใหม่ เพราะผมเชื่อว่าจริง ๆ แล้วคนเราเปลี่ยนไปทุก ๆ วันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรใหม่ก็ตาม มันอาจจะอธิบายง่าย ๆ เหมือนเส้นผมที่มันยาวขึ้นทุกวัน แต่เราไม่เคยสังเกตหรอกว่ามันยาว จนผ่านไป 2 เดือน เอ้ยมันยาว ก็คือสิ่งที่เราทำทุกเมื่อเชื่อวันมันจะสะสมเป็นสิ่งที่เรา ?กลายเป็น? ใน ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับผมเองไม่ได้บอกว่าเราจะออกไปวิ่งเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเราจะออกไปพิชิตสิ่งนี้ เราแค่ออกไปทำอะไรที่สนุกและน่าตื่นเต้น และเรียกแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้เราได้ แค่นั้นเองครับ”

ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ตัวตนและความเปลี่ยนแปลงของตูนก็ส่งผลต่อวงบอดี้สแลมมาตลอด เพราะตูน-ในฐานะนักร้องนำ เขาแบกความเป็นบอดี้สแลมเอาไว้กว่าครึ่ง ซึ่งถ้าใครติดตามพัฒนาการของบอดี้สแลม ก็จะเห็นว่าพัฒนาการและทิศทางของวงในแต่ละช่วงมันเชื่อมโยงกับตัวตนของตูนในแต่ละช่วงเวลาเสมอ

คำถามคือ ตูนมีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมวงอย่างไร ว่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ อย่างไร วงรับได้มากน้อยแค่ไหน เขาทำอย่างไรให้เพื่อนร่วมวงอีก 4 คนคล้อยตามและเดินไปในทิศทางเดียวกันกับเขา

ตูนไม่ได้ตอบว่าในวงคุยกันอย่างไร แต่เขาบอกว่า เขาโชคดีที่มีเพื่อนร่วมวงที่เข้าใจและยอมรับในความเป็นเขา

“คือผมเป็นคนที่โชคดีมากครับที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ ในวง (ซึ่งก็ต่างมีอายุมากกว่าผม) เข้าใจในความเป็นเรา เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น เข้าใจว่าเราชอบแบบนี้ ทำแบบนี้ โชคดีที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ เข้าใจ แล้วก็อดทนอยู่กับสิ่งที่ผมเป็นได้ ก็ขอบคุณพี่ ๆ ร่วมวง เพราะว่าในบางทีที่เราออกไปทำกิจกรรม ยกตัวอย่าง ก้าวคนละก้าวเบตง-แม่สายเนี่ยก็ใช้เวลา วิ่งก็ 2 เดือนแล้ว เตรียมตัวอีกก็หลายเดือนที่เราออกไปทุ่มเทกับเรื่องนี้ แต่พี่ ๆ ทุกคนเข้าใจว่าเป้าหมายของเราคืออะไร โชคดีที่พี่ ๆ ก็ให้เกียรติและเข้าใจ”

หลังจากที่ออกมาทำโครงการก้าวคนละก้าว สถานะทางสังคมของตูนเปลี่ยนไป จากเดิมเป็นนักร้องที่เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจของวัยรุ่นและแฟนเพลง ขยายไปเป็นฮีโร่ที่คนทั้งประเทศชื่นชม เป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงกระเพื่อมในสังคม เขารับมือสิ่งเหล่านี้ยังไง ? แต่ตูนก็คือตูนที่ถ่อมตนเสมอ เขาบอกว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

“จริง ๆ แล้วเราไม่ได้คิดว่าเราเป็นแบบนั้น เราคิดว่าเราเป็นวัยรุ่นปกติคนหนึ่งที่เราอยากทำอะไรสนุก ๆ อยู่ เราไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเราสำเร็จแล้วในชีวิต มันยังมีอีกหลายอย่างที่เราอยากทำให้สำเร็จ เราไม่ได้มองว่าเราอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้ว หรือพิชิตยอดเขาสักยอดแล้ว เรารู้สึกว่าเรากำลังเดินทาง เราเหมือนคนที่ก้าวต่อก้าวมาเรื่อย ๆ ก้าวต่อก้าวมาเรื่อย ๆ ด้วยความสนุกสนานที่ได้ร้องเพลง ก้าวต่อก้าวมาเรื่อย ๆ ด้วยความสนุกสนานที่เราได้วิ่ง ได้เล่นกีฬา ก้าวต่อก้าวมาเรื่อย ๆ ที่เราได้ออกไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้คนอื่นบ้างในฐานะนักร้องคนหนึ่ง แค่นั้นเอง สนุกกับมัน ไม่ได้กดดันว่าทำสิ่งนี้แล้วจะต้องเกิดภาพนี้ ทำสิ่งนี้แล้วจะต้องเกิดภาพนี้ในปัจจัยภายนอก เราเอาตัวเราเป็นตัวตั้งก่อนว่าเราสนุกกับมันมั้ย เรามีความสุขกับมันมั้ย มันไม่เดือดร้อนใครใช่มั้ย เราอยากทำมันจริง ๆ ใช่มั้ย เราจะทำมัน แค่นั้นเอง แล้วออกไปทำมันอย่างเต็มที่”

ตัวตนใหม่ ภาพความเป็น “ฮีโร่ของคนไทยทั้งประเทศ” มาพร้อมกับความคาดหวังของผู้คน ขณะที่ตูนบอกว่าตัวเขาทำอะไรโดยเอาความสนุกของตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ

เพียงแค่เราพูดขึ้นว่า “หลังจากนี้ความคาดหวังที่ผู้คนในประเทศไทยมีต่อตูน บอดี้สแลม จะมากขึ้นกว่าเดิม…” ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถาม ตูนก็รีบออกตัวว่า “อย่าคาดหวังกับเราเยอะ เราเป็นวัยรุ่นเหมือนทุกคนที่ยังสนุกสนานกับชีวิต”

จากนั้นเราถามว่า ถ้าวันหนึ่งคุณรู้สึกไม่สนุกแล้ว แต่ความคาดหวังจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหยุดไม่ได้หรือเปล่า เช่น สมมุติว่าวันหนึ่งคุณไม่สนุกกับการวิ่งแล้ว แต่โรงพยาบาลยังขาดงบฯ คนอาจจะยังคาดหวังว่าอยากให้คุณวิ่งอีกครั้ง

ตูนตอบว่า “กลับมาย้อนที่คำตอบเดิมคือ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตอนมัธยม มหาวิทยาลัย หรือว่าเรียนจบก็ตาม ผมจะทำทุกอย่างบนพื้นฐานของความสนุกและความสุขของเราอยู่เสมอ เพราะไม่มีทางเลย ถ้าเราจะแต่งเพลงสักเพลงหนึ่งเพราะว่าคนนี้อยากฟัง มันจะฮิต เพราะว่าเขาอยากฟังอย่างนี้กัน แต่ในเพลงที่เขาฮิตเขาจะชอบกันเนี่ย เรากลับรู้สึกว่าเราไม่ชอบมัน เราจะทำมันเหรอ เราจะร้องแบบนั้นจริง ๆ เหรอ เพื่อไปตอบให้คนที่อยากฟังว่าเขาจะชอบมัน แต่ในใจเรากลับร้องเพลงนี้ด้วยความว่างเปล่า ด้วยคำถามว่าเราทำไปทำไม ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้รู้สึกกับมันจริง ๆ

“..เหมือนกัน ผมคงยกสมการในการทำเพลงมาใช้กับชีวิตจริงว่า เราก็ใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังของตัวเองอยู่เสมอ เราอยากทำอะไร เราอยากร้องเพลงแบบไหน แต่งเพลงพ็อปบ้าง ในบางอัลบั้มอาจจะยากบ้าง บางเพลงอาจจะดีบ้าง ทะลุจักรวาลไปบ้าง แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารจริง ๆ เช่นเดียวกันกับการใช้ชีวิต เราก็คงอยากใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากจะเป็นและมีความสุข ผมไม่ได้เอาความคาดหวังของคนอื่นมาเป็นข้อกำหนดสักเท่าไหร่ครับ

พูดถึงเรื่องเพลง ตูนบอกว่าช่วงนี้ขอใช้เวลาทำอัลบั้มใหม่ของบอดี้สแลมให้เสร็จ ซึ่งตอนนี้เกือบจะเสร็จเต็มร้อยแล้ว เขาบอกว่าเพลงในอัลบั้มใหม่นี้ผ่อนคลายจากอัลบั้มก่อนหน้าที่มีความตึงเครียด มีความเป็นตัวเขาที่หมกมุ่นกับอะไรบางอย่าง แต่อัลบั้มใหม่นี้เบาบางลง โล่ง และสนุกขึ้น ซึ่งมีผลมาจากการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าว ตูนบอกว่าการออกไปวิ่งไปทำกิจกรรมที่ไม่คุ้นชิน ไปเจอคนอื่น ๆ เจอสิ่งใหม่ ๆ มันเหมือนการออกไปเจอโลกใหม่

“จากที่เคยตึงเครียดกับเรื่องเรื่องเดียว ไปจี้ให้มันดี ให้มันเต็มที่ที่สุด พอเราออกไปวิ่ง ออกไปทำโครงการก้าวฯใน 2 ปีที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าเรามีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเหมือนกันที่เราผูกติดความสุขและความทุกข์กับมันได้ด้วย นอกจากเรื่องดนตรี เราก็เลยรู้สึกว่า มันดีจังที่ยกความกดความตึงต่าง ๆ เกลี่ยให้มันไปในหลายมิติของชีวิต เหมือนวงกลมชีวิตของผมมันใหญ่ขึ้น ไม่ได้เพ่งอยู่กับจุดเล็ก ๆ จุดเดียว รวม ๆ มันก็ส่งผลกับอัลบั้ม กับเพลงที่เราแต่ง”

“ใช้ชีวิตให้สนุกครับ” ตูนมักจะบอกกับแฟนเพลงที่เข้าไปพูดคุยกับเขา หลังจบการสนทนาครั้งนี้ก็เช่นกัน