ใครว่าละครไทยไม่พัฒนา มองวงการบันเทิงผ่านสายตา “ทราย เจริญปุระ”

อินทิรา เจริญปุระ คือชื่อที่คุ้นตาคนอ่านหนังสือในช่วงหลายปีมานี้ แต่ “ทราย เจริญปุระ” คือ ชื่อที่คนดูหนังดูละครคุ้นมานานมากกว่า 20 ปี แต่ไม่ว่าจะเป็นชื่อไหน ทั้งสองชื่อคือคนเดียวกัน ผู้หญิงที่เป็นทั้งนักแสดงและคนเขียนหนังสือ

ส่วนหนึ่งในงานเขียนหนังสือของ ทราย เจริญปุระ เธอได้หยิบเอาเรื่องราวที่ประสบพบเห็นในวงการบันเทิงมาเขียนด้วย เป็นเหมือนการเล่าเรื่องราวจากวงในให้คนนอกวงการได้รู้เรื่องราวอย่างเห็นภาพในคอลัมน์ “บันเทิงเชิงร้าย” ทางเว็บไซต์ The Matter และบทความในคอลัมน์นี้ถูกคัดมารวบรวมเป็นหนังสือชื่อ “บันเทิงเชิงร้าย” เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

“นี่แหละวงการบันเทิง, หนึ่งในสิ่งที่ฉันชอบที่สุดในโลก”

ข้อความสั้น ๆ ที่ทรายเลือกวางไว้บนปกหลังหนังสือเล่มนั้น สรุปได้ดีว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับวงการนี้

“ดีไลฟ์-ประชาชาติธุรกิจ” เราได้คุยกับเธอถึงหนังสือเล่มใหม่ การทำงานในวงการ และมุมมองต่อวงการบันเทิงไทย ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า เธอไม่ได้ชอบใจหรือเห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งในวงการนี้ แต่นี่คืองาน-วงการที่เธอชอบและอยู่กับมันอย่างเข้าใจ

Q : ชื่อ “บันเทิงเชิงร้าย” เรื่องที่เขียนร้ายขนาดไหน หรือเป็นแบบซุบซิบจิกกัดนิดหน่อย

ไม่ร้าย เป็นซุบซิบอ้างอิงน้อง ก น้อง ข อะไรอย่างนี้ ไป ๆ มา ๆ เหมือนเขียนด่าตัวเองเยอะกว่าเมาท์คนอื่นด้วยซ้ำ เพราะถ้าเมาท์คนอื่น เราไม่มีวันรู้หรอกว่าเขาทำเพราะอะไร บางทีเขานอนน้อยมา หรือเขากินยามา เราก็จะมองมันด้วยความเข้าใจมากกว่า ไม่ได้มานั่งแฉอะไรกัน เพราะว่ามันไม่ใช่ทางของเรา

Q : ทรายเป็นคนมีโลกส่วนตัว ขณะที่งานนักแสดงมันดูจะไม่ค่อยเอื้อให้มีโลกส่วนตัวรึเปล่า มันต้องคลุกคลีกับคนเยอะ อยู่กับมันอย่างไร

คนส่วนใหญ่จะรู้สึกแบบนั้น เราก็อยู่ได้นะ อยู่กองเราก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไรนะ ก็ไม่ได้แบบว่าฉันจะต้องเป็นคนติสต์ ๆ อยู่คนเดียว ก็เมาท์คุยปกติ เขาคุยอะไรกัน เราก็คุยเรื่องนั้นได้ เขากินส้มตำกัน เราก็ส้มตำ เขามาสก์หน้ากัน เราก็คุยเรื่องมาสก์หน้า คุยไปปกติ เพียงแต่ว่าทรายก็แยกส่วนค่อนข้างชัดเจน วันไหนอยู่บ้านก็คืออยู่บ้าน

Q : ช่วงที่เรื่องการเมืองแรง ๆ คนที่เห็นต่างกันอยู่กันได้ปกติรึเปล่า

อยู่ได้นะ มันอาจจะเป็นที่ที่แปลกมาก ๆ ที่คนซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่ามีความเหมือนหรือความต่างกันมาทำงานกันได้ ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือวันปิดกล้อง มันเลยไม่ต้องรู้ว่าใครโตมายังไง มันไม่เหมือนเราคบเพื่อนนะ มันเป็นคนที่คบหาสมาคมกันเพื่องาน สมมุติว่าทรายไม่ชอบคนนี้เลย ให้มาเล่นละครด้วยกันก็เล่นได้ ฉันไม่ได้ไปเป็นเมียเขานี่ ชีวิตจริงก็อยู่ใครอยู่มันไป อาจจะเป็นแบบนี้ด้วยมั้ง คนเลยรู้สึกว่า อ้าว แล้วทำไมไม่จริงใจต่อกัน ก็มันไม่ต้องไง มันไม่ได้สัมพันธ์กันในชีวิตจริง ก็แค่ทำงานกัน

เรื่องที่ก่อจะให้เกิดปัญหากันในกองไม่ใช่เรื่องทัศนคติด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องเธอตรงเวลามั้ย ทำการบ้านมารึเปล่า เรื่องที่มันส่งผลกระทบต่องานเท่านั้น แต่ถ้าทั้งกองมีฟีลลิ่งร่วมด้วยทางเดียวกัน เขาอาจจะคุยกันนอกรอบหรือมีกรุ๊ปไลน์อะไรยังไง หรือว่าจะโดนเมาท์ทีหลัง มันไม่ใช่ประเด็นแล้วไง เพราะว่าถ้ามาคิดแบบนี้ให้เป็นเรื่องหลักในชีวิต ตายห่า ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ววัน ๆ

Q : อยู่กันไม่ยากอย่างที่คนภายนอกคิด ?

ใช่ ๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น และไม่ได้เฟกด้วยนะ คนฟังอย่างนี้อาจจะรู้สึกว่าก็ต้องเฟกใส่กันสิ ไม่ มันมีเรื่องอีกเยอะมากที่ต้องคุยกัน เอาเฉพาะเรื่องในกองล้านแปดแล้วอ่ะ เมื่อเช้ามีอะไร แม่บ้านทำกับข้าวไม่อร่อยเลย กลางวันมีอะไร แค่เรื่องกินก็หมดไปแล้วหนึ่งคิว โดยที่เราไม่ต้องคุยอะไรอย่างอื่น

Q : มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องที่เขาว่า วงการบันเทิงไทยชอบทำอะไรซ้ำ ๆ ทำหนังทำละครรีเมก

ก็วนจริง ๆ นะ คือในส่วนหนึ่งมันก็มีแบบใหม่ มันก็เหมือนกันทั้งไทยและฝรั่งแหละ อย่าง A Star Is Born ทำมารอบที่ 4 แล้ว ก็ขายวนเหมือนกันนะ ก็ได้นี่หว่า ก็เล่าให้มันแปลกขึ้น ใหม่ขึ้น อย่างตัวทรายเล่นสายโลหิตนี่ก็วนนะ แต่ทรายว่ามันขึ้นอยู่กับคนเลือกเสพมากกว่า หลายคนก็ว่าดีที่ได้ดูละครเรื่องนี้ในตอนนี้ เพราะ CG มันดีขึ้น ทรายก็เข้าใจนะสำหรับคนที่ดูซ้ำหลายรอบ แต่ถามว่าการทำซ้ำ ทำให้คุณค่าของมันลดน้อยลงรึเปล่า หรือคุณค่าของคนทำงานมันลดน้อยลงเหรอ ทรายว่ามันไม่ได้หมายความว่าทำบ่อยแล้วมันจะแย่

มันมีการพัฒนานะ อย่างเรื่องสายโลหิต คนเขียนบทคนเดิมคือ ป้าแดง ศัลยา แต่รายละเอียดของบทก็จะมีการเปลี่ยน อย่างแต่ก่อนที่เราเรียกข้าศึกว่าพม่า ก็เปลี่ยนเรียกอังวะ ให้มันถูกต้องตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นมา คือยุคนี้เราไม่ด่ากันแล้ว เราไม่ได้เกลียดพม่าแล้ว ป้าแดงก็เอาข้อมูลใหม่ ๆ ตรงนี้เอามาทำ ไม่ใช่ว่าละครพีเรียดก็จะต้องทำเหมือนเดิมทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่ปรับได้มันต้องเปลี่ยนตามข้อมูลที่หามาได้

Q : แล้วเรื่องบทที่เขาว่าบทละครไทยยังไม่สร้างสรรค์ ?

บ้า เลือดข้นคนจางก็สร้างสรรค์นะ ถ้าเอามาเปรียบเทียบกันอย่าง Netflix เรื่องล่าสุดเลยที่ฮิตมากเลยก็เรื่องผีนะ บ้านผีสิงอ่ะ ทรายก็ไม่เถียงว่ามันเก่า แต่ที่ใหม่ ๆ ก็มี อย่างช่อง 3 ที่ทำริมฝั่งน้ำ เอานักแสดงอาวุโสมาเล่นหมดเลย เราว่าเจ๋งมากเลยนะ คุณจะบันทึกภาพเลยว่าเหล่าครูเหล่านี้รวม ๆ กันมันได้ขนาดนี้เลยเหรอ

ถ้าเป็นฟรีทีวีก็ยิ่งหลากหลาย ทั้งในเรื่องรสนิยมทางเพศ เรื่องช่วงวัย เรื่องพื้นเพอาชีพ พื้นเพของตัวละคร เมื่อก่อนนี้คนทำหนังทำละครจะพยายามไม่แตะเลยว่าพระเอก นางเอกทำอาชีพอะไร เพราะว่ามันเสี่ยงจะโดนฟ้องมากถ้าทำผิด แต่เดี๋ยวนี้มันมีความชัดเจนทางอาชีพ มีการแทรกความรู้ลงไป แต่มันก็ไม่ได้ดีพรึ่บแบบดีดนิ้ว จะให้ทิ้งคนเก่า ๆ ทุกคนเลยเหรอ คุณไม่ห่วงแม่ว่าจะดูอะไรเลยเหรอ แม่เราผิดเหรอที่ไม่ปรับตัวดูละครที่ทันสมัย ก็คนเราดูละครด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนบนโลกเขาจะดูอย่างคุณ ทุกอย่างมันอาศัยการปรับ ไม่ใช่เปลี่ยนแบบล้มกระดาน ต้องคิดด้วยว่าโลกนี้มีคนหลากหลาย ลองนึกว่ากลับบ้านมาพ่อแม่คุณอายุสักหกสิบ ให้เขามานั่งดูฮอร์โมนทุกตอนเหรอ มันเป็นเรื่องของวัยรุ่น วัยรุ่นกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดก็ไม่เหมือนกันอีก มันไม่มีใครเหนือ มันเป็นเรื่องของรสนิยม

Q : จะมีคำที่เขาพูดกันว่า คนเราเป็นนักอะไรสักอย่างได้อย่างเดียว ถ้าต้องเลือกเป็นแค่อย่างเดียว เลือกอะไร

ก็จริงนะ ถ้าเป็นหลักจริง ๆ ของทรายก็เป็นนักแสดงแหละมั้ง เพราะว่าทรายเขียนเพราะมีเรื่องอยากเล่า ถ้าต้องเป็นนักอะไรสักอย่าง ทรายก็ให้เกียรตินักแสดงเป็นอันดับแรกแล้วกัน เราก็เป็นนักแสดงมาก่อน ทรายมีเรื่องที่อยากเล่าเยอะก็คงเพราะเป็นนักแสดงนี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเล่าชีวิตพาร์ตที่เป็นนักแสดงอยู่ตลอด เราก็มีอย่างอื่นที่อยากเล่า