ทีมบอลลีกผู้ดี ครองท็อป 10 สโมสรมูลค่าสูงสุดในโลก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ KPMG บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ของโลก เปิดเผยมูลค่าสโมสรฟุตบอลในยุโรปที่มีมูลค่าสูงสุด 32 อันดับแรก ซึ่งอันที่จริงในอันดับบน ๆ หรือท็อป 10 ของตารางก็คงกินความหมายไปถึง ที่สุดในโลกŽ เพราะว่าศูนย์กลางกีฬาและธุรกิจฟุตบอลของโลกนี้อยู่ที่ทวีปยุโรป คงไม่มีสโมสรจากทวีปไหนมีมูลค่าสูงกว่านี้แล้ว

อันดับ 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ) 3,004 ล้านยูโร

อันดับ 2 เรอัล มาดริด (สเปน) 2,895 ล้านยูโร

อันดับ 3 บาร์เซโลนา (สเปน) 2,688 ล้านยูโร

อันดับ 4 บาเยิร์น มิวนิก (เยอรมัน) 2,367 ล้านยูโร

อันดับ 5 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อังกฤษ) 1,909 ล้านยูโร

อันดับ 6 อาร์เซนอล (อังกฤษ) 1,882 ล้านยูโร

อันดับ 7 เชลซี (อังกฤษ) 1,524 ล้านยูโร

อันดับ 8 ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) 1,260 ล้านยูโร

อันดับ 9 ยูเวนตุส (อิตาลี) 1,158 ล้านยูโร

อันดับ 10 ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ (อังกฤษ) 978 ล้านยูโร

จากข้อมูลจะเห็นว่า 10 อันดับแรกเป็นสโมสรฟุตบอลจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษไปแล้วถึง 6 สโมสร

ในแง่การแข่งขัน สโมสรจากอังกฤษไม่ค่อยได้ผงาดในเวทียุโรป สู้ยักษ์ใหญ่จากสเปน เยอรมัน อิตาลี ไม่ได้ แต่ในแง่ความนิยมในยุคนี้ ลีกผู้ดีครองโลกไปแล้ว และความนิยมนี่เองที่แปรผันเป็นรายได้มหาศาลให้กับสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ ไม่ว่าจะค่าตั๋วเข้าชมการแข่งขัน ค่าขายของที่ระลึก ค่าสปอนเซอร์ เป็นที่นิยมมากก็ขายของได้เงินมาก สปอนเซอร์รุมตอมและยอมจ่ายให้มาก เพราะหวังผลทางการตลาดได้มาก เป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ซึ่งรายได้ผลประกอบการเป็นส่วนสำคัญที่จะสะท้อนออกมาเป็นมูลค่าของสโมสร

อีกปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ต่อ ”มูลค่า”Ž ก็คือ “แบรนด์Ž” ของสโมสร การมีแบรนด์แข็งแกร่งย่อมมีชัยในทางธุรกิจ ซึ่งแบรนด์ของสโมสรในลีกอังกฤษนั้นแข็งแกร่งกว่าแบรนด์ของสโมสรจากลีกอื่นมาก ถ้ามีการเล่นเกมให้คนดูตราสัญลักษณ์สโมสรแล้วตอบว่าเป็นตราของสโมสรไหน คนน่าจะรู้จักสโมสรระดับกลาง ๆ ของลีกอังกฤษ มากกว่าทีมระดับบนของลีกอิตาลีหรือเยอรมันซะอีก

มาดูตัวอย่างจากสโมสรที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซึ่งก็เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีแบรนด์Žแข็งแกร่งที่สุดในโลกด้วย ดูแล้วจะได้เห็นสัดส่วนรายได้ว่าสโมสรที่รวยระดับโลกเหล่านี้มีรายได้มาจากองค์ประกอบใดบ้าง

รายงานประจำปีของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เปิดเผยล่าสุดคือไตรมาสที่ 2 ปี 2016 ได้แจกแจงสัดส่วนรายรับของสโมสรว่า รายได้ 52 เปอร์เซ็นต์มาจากคอมเมอร์เชียล (ขายชุดแข่ง สินค้าที่ระลึก ค่าลิขสิทธิ์แบรนด์ ค่าสปอนเซอร์ชิป และน่าจะรวมถึงค่าตั๋วเข้าชมสนาม-มิวเซียม ธุรกิจร้านกาแฟ โรงแรม), รายได้อีก 27 เปอร์เซ็นต์มาจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และอีก 21 เปอร์เซ็นต์มาจากการขายตั๋วเข้าชมการแข่งขัน ซึ่งสัดส่วนรายได้ในปีนี้ก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วมากนัก

จากสัดส่วนรายได้ 27 เปอร์เซ็นต์ของสโมสรที่มีรายได้มหาศาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พอจะทำให้เห็นว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกได้รับส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดมากขนาดไหน และรายได้ในส่วนนี้จะเป็นรายได้ส่วนสำคัญเท่าใดของสโมสรอื่น ๆ ที่มีรายได้รวมน้อยกว่าทีมปีศาจแดง

ข้อได้เปรียบของสโมสรจากอังกฤษนอกจาก แบรนด์ของสโมสรŽแล้ว ก็คือแบรนด์ของลีกŽอีกที เพราะพรีเมียร์ลีกเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่าลีกอื่น จึงทำให้พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่ขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดได้มากที่สุดในโลก ตามด้วยอันดับ 2 คือ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี อันดับ 3 ลาลีกา สเปน อันดับ 4 บุนเดสลีกา เยอรมัน อันดับ 5 ลีก เอิง ฝรั่งเศส

ใน 10 อันดับแรกนี้ ลีกกระทิงดุมีเพียง 2 สโมสรคือ เรอัล มาดริด และบาร์เซโลนา ที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกเข้ามาติดอันดับ

ส่วนอีก 3 ลีก คือลีกอิตาลี ลีกเยอรมัน และลีกฝรั่งเศส ในทางธุรกิจแล้ว เทียบลีกอังกฤษไม่ติดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นระดับความนิยมที่น้อยกว่ามาก ทำให้สโมสรมีรายได้น้อยตามไปด้วย และค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของลีกเหล่านี้ที่น้อยกว่าลีกอังกฤษแบบเกินเท่าตัว ลีกอิตาลีและลีกเยอรมันจึงมีสโมสรเข้ามาติดอันดับลีกละสโมสรเท่านั้น ส่วนสโมสรที่มีมูลค่าสูงสุดจากฝรั่งเศส คือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ติดอันดับที่ 11

เมื่อรายได้ที่หาได้เองจากความสำเร็จและความนิยมบวกกับค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่เหนือกว่าลีกอื่นมาก ๆ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสโมสรในพรีเมียร์ลีกมีรายได้ ซึ่งแปรเป็น “มูลค่าสโมสร” มากกว่าสโมสรจากลีกอื่น แม้แต่สโมสรระดับกลางของพรีเมียร์ลีกก็มีมูลค่าสูงเทียบชั้นทีมบิ๊กจากลีกอื่นได้สบาย ๆ