ปั๊บ โปเตโต้ ก้าวผ่านทุกการเปลี่ยนแปลงด้วยคาถา “go on”

รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง

ถ้านับวงดนตรีที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลา 10 กว่าถึง 20 ปีที่ผ่านมา แล้วเลือกเฉพาะวงที่ประสบความสำเร็จและยังมีผลงานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โปเตโต้ (Potato) เป็นหนึ่งในไม่กี่วงนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ติดตามวงการเพลงไทยสากลหรือไม่ ก็ต้องเคยได้ยินเพลงของพวกเขาผ่านหูมาไม่มากก็น้อย

18 ปีในวงการ กับกราฟความสำเร็จที่ขึ้น ๆ ลง ๆ นอกจากเพลงฮิตและความนิยมแล้ว โปเตโต้ถูกจดจำในอีกแง่หนึ่งที่โดดเด่นมากคือ เป็นวงดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ทั้งเปลี่ยนสมาชิกวง เปลี่ยนค่าย เปลี่ยนทีมงาน

สำหรับคนฟังเพลง คนนอกเมื่อได้ยินข่าว เรามีคำถามว่า “อีกแล้วเหรอ” ตั้งคำถามแล้วก็จบไป แต่กับตัวสมาชิกวง เมื่อต้องพบเจอความเปลี่ยนแปลง นอกจากคำถาม “อีกแล้วเหรอ” ที่เกิดขึ้นเช่นกันกับคนนอก หลังจากนั้นพวกเขาต้องรับมือการเปลี่ยนแปลง ต้องแก้ปัญหา ต้องหาทางเดินหน้าต่อไป ซึ่งไม่ง่ายเลย

เมื่อมองย้อนไปเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมามองปัจจุบันที่โปเตโต้ยังคงอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าพวกเขาก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงมากมายนั้นมาอย่างไร และนั่นคือประเด็นหลักของบทสัมภาษณ์นี้ ซึ่งคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือ ปั๊บ-พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข นักร้องนำ ซึ่งเป็นสมาชิกคนเดียวในชุดปัจจุบันที่อยู่กับวงมา 18 ปี ตั้งแต่ทำอัลบั้มแรก

Q: โปเตโต้เจอการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก รับมือยังไง ครั้งแรกกับครั้งถัด ๆ มา มันรู้สึกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ครั้งหลัง ๆ มันชิน รับมือง่ายขึ้นหรือเปล่า

มันไม่เคยชินเลยครับ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่ทุกครั้งก็ต้องใช้ความเข้าใจเยอะเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าเก่งแล้ว ชินแล้ว สบาย ภายนอกมันดูเป็นอย่างนั้น แต่ลึก ๆ ทุกครั้งเราต้องมีสติเสมอไป ยิ่งช่วงหลัง ๆ ยิ่งต้องมีสติมากกว่าเดิมด้วย เพราะว่าตอนเราเด็ก ๆ ประสบการณ์ในชีวิตเราน้อย ปัญหามันถูกแก้ด้วยสัญชาตญาณ ใช้ความรู้สึกเยอะ แต่พอ ประสบการณ์เยอะขึ้น เริ่มใช้ความคิดมากกว่าสัญชาตญาณ มันใช้วิธีการรับมือที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกครั้งต้องใช้สติเสมอ

Q: การเปลี่ยนแปลงครั้งไหนหนักที่สุด หรือเท่ากัน หรือต่างกันอย่างไร

ผมว่าทุกครั้งมันก็หนัก แต่หนักสุด ๆ จริง ๆ น่าจะเป็นตอนที่เพื่อนเสียชีวิตแหละ (ปีย์ นักร้องนำอีกคนเสียชีวิตปีพ.ศ.2545) มันคือครั้งแรกที่แบบ… มันตกใจ ครั้งอื่นมันเป็นเรื่องเหตุผล เรื่องแอทติจูด แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับเลยทันที แต่ในสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรายังมีสมาชิกที่เหลืออีก ที่จริงก่อนที่เพื่อนจะเสียชีวิตมือเบสเราออกไปแล้ว มันเป็นเรื่องจังหวะชีวิตน่ะครับ เป็นชะตากรรมที่แบบ โอ๊… เราจะทำยังไงต่อไป ตอนนั้นเหลือสามคน ก็เลย… งั้นเราก็ไปต่อ มันก็เลยเกิดอัลบั้ม Go On ขึ้นมา หลังจากนั้นก็อยู่กับเรื่องที่มันต้องเปลี่ยนแปลงตลอด ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

Q: การเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ทำให้คนมองว่า “ปั๊บนี่ยังไง เพื่อนออกตลอดเลย” เราได้กลับมาทบทวนตัวเองมั้ยว่าเป็นยังไงบ้าง

เคย ๆ เคยครับ ผมก็เคยคิดเหมือนกัน ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะเราจริง ๆ แหละ คนหนึ่งคนอยู่ในทุกเหตุการณ์ เวลามันเกิดอะไรขึ้น เราก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เราควรจะโทษตัวเองเป็นอันดับแรก แต่เรื่องนี้พูดไม่ได้เลย เพราะผมว่าทุกคนมีความคิดในแต่ละมุมที่แตกต่างกัน คนที่ออกจากวงไป ผมว่าเขามีเหตุผลส่วนตัว สิ่งที่คนมองเข้ามาบางครั้งมันก็อยู่ที่ว่าเขาจะมองที่อะไร ถ้าเขาเลือกจะมองว่าเป็นเรื่องของผม ก็จะเห็นว่ามันเป็นเหตุมาจากผม แต่ว่าในสถานการณ์จริงที่ผมอยู่ในนั้น มันมีโอมอยู่ด้วยตลอด อาจจะเป็นเพราะโอมก็ได้นะ (ฮ่า ๆ ๆ ) นี่ผมพูดเล่น ๆ นะ พูดให้เห็นภาพว่ามันอยู่ที่คนจะมอง มันก็ไม่ได้เป็นเพราะเราอย่างเดียว สุดท้ายแล้วอยู่ที่ว่าเรายอมรับและเราก็เดินต่อ มันเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้อง go on ให้เรื่องนี้มันเป็นตัวขัดเกลาเราว่าเราจะไม่ทำสิ่งนั้นให้เกิดซ้ำอีก จริง ๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันไม่เคยเป็นเรื่องซ้ำกันเลยนะครับ มันไม่เคยเป็นเรื่องคล้ายกันเลย

Q: ช่วงที่จะมีสมาชิกวงออกไป การคุยกันมันเครียดขนาดไหน คล้ายคนกำลังจะเลิกกับแฟนมั้ย

มันคือแบบนั้นเลยครับ แต่เราไม่ได้บอกเลิกกันแบบนั้น มันเป็นสถานการณ์ที่ให้เจ้าตัวเขาพินิจพิเคราะห์ด้วย ไม่ใช่เป็นการขับไล่ มันไม่ใช่แค่ที่วงอย่างเดียว มันมีเรื่องโปรดิวเซอร์อีก มันหลายอย่างมากเลยนะครับ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ผมจะพูดคนเดียวได้ เพราะถ้าผมพูดคนเดียวมันก็เป็นแค่มุมของผม ผมพยายามจะมองเผื่อทุกมุม มันก็ไม่ได้ครบเท่ากับมุมของเขาหรอก

Q: เวลาเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งความรู้สึกมันต้องดาวน์ ใช้อะไรเป็นแรงผลักดัน เติมกำลังใจในการเดินหน้าต่อไป

(คิดแป๊บนึง) เรารักงานเราน่ะครับ ผมรักการร้องเพลง ชอบเล่นคอนเสิร์ต มีความสุขทุกครั้งเวลาได้ขึ้นเวทีได้ร้องเพลง นั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมยังอยากทำงานตรงนี้ต่อไป เราอยากจะพัฒนามันต่อไป เรารู้สึกว่ามันยังมีอะไรให้เราตามหา ยังมีเรื่องที่เราอยากเล่า อันนี้เป็นเรื่องหลัก ๆ กำลังใจได้จากคนรอบข้างและแฟนเพลง เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่ทำให้เราขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่สำคัญที่สุดคือกำลังใจที่ได้จากตัวเอง เราคอยบอกตัวเองตลอดว่า เฮ้ย มันต้องทำว่ะ สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไปเลยตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาทำงานก็คือความคิดที่ว่าเราต้องทำให้เต็มที่ ต้องซื่อสัตย์ต่องานของเรา ผลจะเป็นยังไงก็เอาไว้ก่อน

Q: มีกระแสแฟนเพลงช่วงไหนที่ทำให้รู้สึกแย่มั้ย วงที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ ๆ มักจะเจอ

แบบแฟนเพลงเลิกตามไป ไม่ชอบเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ พี่ทำไมทิ้งเพื่อน อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ ก็มีแหละ มันก็เป็นธรรมดา ก็มีผลครับ แต่ว่าผมรักในสิ่งนี้จริง ๆ รักแบบไม่มีข้อแม้ตั้งแต่วันแรก เราก็จะดูแลสิ่งที่เราทำอยู่ให้ดีที่สุดบนเจตนารมณ์ที่ดี ผมเชื่อเรื่องเจตนารมณ์นะ เรามีแพสชั่นกับมันจริง ๆ ถามว่ามันมีผลมั้ย ก็มีแหละ แต่ว่าเสียใจก็ต้องกลับมาพิจารณาว่ามันเป็นอย่างที่เขาพูดจริงรึเปล่า บางอย่างมันก็จริง แต่บางอย่างมันก็คือสิ่งที่เขาคิดว่าจะให้จริง สังคมเป็นคนสอนให้ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้ว่าอันไหนคือสิ่งที่สังคมหยิบยื่นให้แล้วบอกว่ามันจริง กับอันไหนที่มันจริงสำหรับใจเรา … “มึงมันเห็นแก่ตัว ทิ้งเพื่อน” เราก็ต้องมาทบทวนว่ามันเป็นอย่างนั้นกี่เปอร์เซ็นต์ เราจะไม่หาข้ออ้างให้ตัวเอง เราต้องฟังว่าอะไรทำให้เขาคิดอย่างนั้น ถ้าเราคิดถึงตัวเองมากเกินไปโดยไม่ได้คิดถึงคนอื่น สมมติว่าเรื่องความต้องการในงานของเรา เราอยากให้มันเป็นแบบนี้ โดยที่เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขารู้สึกอย่างนั้นรึเปล่า มันก็เหมือนเราไปข่มขืนความรู้สึกเขา ไปบีบบังคับให้เขาทำตามเรา แล้ววันนึงเขาไม่พอใจ เขาก็มีสิทธิ์จะยกธงขาว ถูกมั้ยครับ นั่นก็เป็นเพราะเรา เราต้องรับว่ามันเป็นเพราะเรา แล้วเราต้องค่อย ๆ ขัดเกลาสิ่งที่เราเป็น ผมออกแนวไม่ได้โทษตัวเองให้เป็นทุกข์ มองให้เห็นข้อเสียของตัวเองแล้วค่อย ๆ ขัดเกลา น่าจะดีที่สุด

Q: เรื่องการทำงานคิดว่าตัวเองเผด็จการไหม

ต้องถามก่อนว่าเข้าใจคำว่าเผด็จการแปลว่าอะไร มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากครับ ผมไม่กล้านิยามว่ามันคืออะไร แต่ผมโชคดีที่มีคนเห็นด้วยในสิ่งที่ผมตัดสินใจ สมมติว่าผมเลือกว่าผมจะไปเส้นเอ เพื่อนอาจจะบอกว่ามันจะดีเหรอวะ เส้นบีอาจจะดีก็ได้นะเว้ย แต่พวกเราลองดูไหม เอก็เอ ทุกคนก็จะรู้สึกว่าไปด้วยกัน ไม่ได้รู้สึกว่ามึงบังคับกูนะ ผมโชคดีที่มีมิตรสหายที่ถ้าผมตัดสินใจผิด ผมขอโทษ เพื่อนก็จะบอกว่าไม่เป็นไรเว้ย เอาใหม่ เรามาลุยกันใหม่ ผมโชคดีที่มีคนเชื่อแบบนั้น หรือบางครั้งผมก็เชื่อเพื่อนเหมือนกัน

Q: การทำงานเป็นรูปแบบ ความคิดของคนใดคนหนึ่งได้รับการยอมรับแล้วคล้อยตามกัน หรือต้องออกเสียงแบบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก

(หัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า) มันไม่มีรูปแบบตายตัวครับ มันได้หมดเลย อยู่ที่ว่าเราแฮปปี้กันหรือเปล่า บางครั้งอาจจะเกิดจากความประชาธิปไตยแบบที่ทุกคนเข้าใจคือตามเสียงข้างมาก แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เราไม่ได้กำหนดวิธีการของวง มันก็เลยอิสระ บางอันอาจเกิดจากการเผด็จการ กูจะเอาแบบนี้ กูชอบแบบนี้ ได้โปรดเถอะ ขออันนึง แต่มันก็แฮปปี้ สุดท้ายแล้วดนตรีมันสร้างจากการแจมกัน ยังไงมันก็มีความรู้สึกของทุกคนอยู่ในนั้น มีจิตวิญญาณของนักดนตรีทุกคนก็ฝังอยู่ในนั้น

Q: การเปลี่ยนค่าย เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ ทีมแต่งเพลง มีผลต่อการทำงานและผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน

มีเยอะ เพราะว่าค่ายเพลงคือกองบัญชาการสำคัญที่ช่วยผลักดันเพลงเราออกไปสู่สาธารณชน ทีมทำเพลงยิ่งมีผลเยอะเลย มีผลในความน่าเชื่อถือด้วย เหมือนเราเคยห้อยพระเครื่องแล้ววันหนึ่งเราเปลี่ยนพระ แต่ว่าก็ต้องยอมรับมัน ก็ต้องพิสูจน์สร้างกันต่อไปว่ามันจะไปต่อได้ไหม

Q: หมายถึงความน่าเชื่อถือที่คนข้างนอกมองเมื่อต้องร่วมงานกับคนใหม่ มันมีการเปรียบเทียบกับความสำเร็จเก่า ๆ อย่างนั้นใช่ไหม

ใช่ ๆ เราก็ต้องพิสูจน์สร้างกันใหม่ คนที่เข้ามาใหม่เขาเครียดมากเลยนะครับ คนทำงานเบื้องหลังทุกคนต้องสู้หมดครับ พี่โจ เหมือนเพชร ที่เป็นคนแต่งเพลงแทบจะเลิกเขียนเพลงไปเลย เพราะว่าทำแล้วมันไม่ได้สักที

Q : เท่ากับว่าความสำเร็จหรือการที่โปเตโต้ก้าวต่อได้ มันไม่ได้มีผลแค่กับวง มันมีผลถึงความมั่นใจและอาชีพการงานของคนเบื้องหลังด้วย

ถูกต้องครับ มีผลหมดครับ เพราะทุกคนเขาสนับสนุนอยากให้โปรดักต์นี้ประสบความสำเร็จ คนเขียนเพลงนี่ไม่ต้องพูดถึง เวลาคนชอบเพลงเขาก็มีความสุข ดีใจ เพราะเขาก็มีชีวิตของเขา ต้องหาเงินเลี้ยงลูก มีผลจริง ๆ ครับ วันไหนเซเราก็คิดว่าเราจะให้กำลังใจกันยังไง เราจะไม่โทษกันไปโทษกันมา

Q: โปเตโต้เคยดังมาก ช่วงนั้นคิดว่าจะต้องรักษาระดับนั้นให้ได้ตลอดไหม ด้วยความที่ขึ้นสูงไปแล้วถ้าดรอปลงมันจะเป็นทุกข์ไหม

ถ้าถามผมจริง ๆ มันไม่มีช่วงเวลานั้นเลย ไม่มีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราคือคนที่สำเร็จ เวลาที่มันดีก็คือแบบ เฮ้ย ดีจังเลย มันคือของขวัญอันล้ำค่าในชีวิต สิ่งที่ตามมาคือ พอมันดีแล้วเราเครียด เราจริงจังกับงานมากกว่าเดิม แต่ ณ โมเมนต์ที่อยู่กับความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือความประมาทว่า มันโอเค เราก็ทำมันต่อไปไม่ต้องคิดเยอะ ไม่คิดว่าวันนึงมันจะกลับหักมุมลงมา เราไม่มีปรัชญาชีวิตที่เตรียมรับมือกับมัน แค่แบบดีใจจังเลยมีคนชอบเพลงเรา แล้วก็ไปทัวร์คอนเสิร์ต เล่นด้วยความสุขอย่างเดียว ไม่ได้ประเมินว่าวันนี้โชว์ดีไหม จะทำยังไงให้มันพัฒนา อาจจะเพราะเราสนุกและเรายังเด็กมาก ตอนนี้ก็พยายามมีสติให้ได้มากที่สุด ไม่ประมาท ระวังว่าเราจะทำงานไม่ดี

Q: มองว่าโปเตโต้คืออะไร คนข้างนอกอาจมองว่าโปเตโต้คือปั๊บ เพราะว่าสมาชิกอื่นเปลี่ยนบ่อย

(เงียบคิดสักพัก) ผมว่าเขาคือคน เขาคือวงดนตรีวงหนึ่งที่มีชีวิตในแบบของเขาเองจริง ๆ มันไม่ใช่ผม เพราะว่าโปเตโต้มันถูกหล่อหลอมด้วยคนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผ่านมา หรือคนที่อยู่ในปัจจุบัน หรือทีมงานเบื้องหลัง ผมอาจจะเป็นแค่สัญลักษณ์ที่ทำให้คนเห็นแล้วนึกถึงโปเตโต้ แต่สำหรับผมโปเต้โต้คือชีวิต ชีวิตในแบบที่สัมผัสได้เป็นรูปธรรม เห็นการเจริญเติบโต เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นความเจ็บปวด เห็นมุมมืด เห็นมุมที่ดี และเห็นมุมที่ไม่ดีในสิ่งที่มันเกิดขึ้น

Q: คิดว่าจุดแข็งของโปเตโต้คืออะไร

การปรับตัวมั้งครับ เราค่อนข้างอยู่กับสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ ถ้าเราเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง แล้วปรับตัวไปกับมันให้ได้ ผมว่าเราก็จะแฮปปี้นะ นั่นน่าจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้เรายังเดินต่อไป

Q : ถ้าจะนิยามการคงอยู่ของโปเตโต้ จะเรียกว่าอะไร

ไม่รู้อ่ะ (ลากเสียงยาว) มีพี่เขาเรียกว่า เหมือนปลาดิ้นน้ำ น้ำกำลังจะหมดแต่พวกเธอก็ยังอยู่กันเนาะ เขาก็คงจะแดก ๆ แบบตลก ๆ มันต้องจบไปแล้วรึเปล่า ยังอยู่หรอ

Q: มีช่วงไหนที่รู้สึกเฟลมากไหม ถ้าตัดเรื่องการเปลี่ยนแปลง เอาเฉพาะเรื่องตัวงานกับผลตอบรับ

มีตลอด แต่ว่ามันก็มีเรื่องดีเข้ามาด้วยครับ คือผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเฟล ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปัญหาที่เราต้องแก้ไข เพลงนี้ไม่ดังว่ะ คนไม่ชอบ ก็เอาใหม่ เราไม่ได้เอาความทุกข์มาขับเคลื่อนชีวิตน่ะครับ ความทุกข์มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กับความสุขเลยครับ เราจะมองเห็นเขายังไง ช่วงนี้เรามีความสุขเราจะเสพมันยังไง ช่วงนี้มีความทุกข์จัดการกับมันยังไง

Q: อัลบั้มใหม่ใช้เวลานาน 7 ปี มันจะทำให้เพลงในอัลบั้มไม่เป็นหนึ่งเดียวกันหรือเปล่า เพราะว่าการทำเพลงน่าจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในแต่ละช่วง หรือว่าตั้งใจให้มันวาไรตี้

มันตอบยาก ถ้าในทัศนะผม ผมชอบอัลบั้มนี้มากครับ เพราะทุกเพลงเป็นตัวของตัวเองหมดเลย ทุกครั้งที่ผมเปิดซีดีฟัง มันเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนกลับไปในบางช่วงบางสถานการณ์ ทำให้เราเห็นว่าช่วงนั้นเป็นยังไง แต่แก่นของเพลงในอัลบั้มเป็นโครงเดียวกัน เพราะนั่นคือความรู้สึกของเรา เป็นบุคลิกภาพของโปเตโต้ในปัจจุบัน คือมองโลกเห็นว่ามีความเจ็บปวดแบบไหน มีความสุขแบบไหน แล้วเลือกที่จะไปต่อแบบไหน เลือกที่จะมองเห็นความรักในแบบไหน มันคือเพลงรักทั้งหมด แต่ไม่ใช่แค่รักแบบผู้หญิงผู้ชาย เราพยายามทำให้มันเป็นเรื่องที่ฟังง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ เมโลดี้เพราะ ๆ แต่อันเดอร์ไลน์ของทุกเพลงมันมีวิธีคิด บุคลิกภาพของคนคนนี้อยู่ครับ

Q : มีเพลงไหนเกิดจากความรักครั้งปัจจุบันบ้าง

เกือบทุกเพลงเลยนะครับ อย่างเพลง ก็ยังดี, ยังคง, เธอทำให้ได้รู้, เท่าไหร่ไม่จำ, ทุกด้านทุกมุม, ดวง มันเกิดจากความรู้สึกของผมจริง ๆ เป็นความรักในแบบปัจจุบัน ถ้าชัด ๆ เลยก็เพลง “ยังคง” ผมว่ามันน่ารักดี ความหมายคือ เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น ด้วยความที่เราทำงานห่างกัน ต่อให้เราเชื่อมั่นในความรักแค่ไหนมันก็มีสักแว้บนึงที่เรารู้สึกว่า อาจจะมีคนเข้ามาดูแลเขาได้ดีกว่าเรา แล้วไอ้ความเข้าใจความเชื่อใจมันจะทำให้ความรักครั้งนี้ยังคงเหมือนเดิมอยู่ไหม มันเป็นคำถามน่ารัก ๆ อ่ะ

Q: ตั้งคำถามแบบนี้ อีกฝ่ายเขาไม่น้อยใจหรอว่าเราไม่ไว้ใจ

มันแค่แว้บเดียวครับ ซึ่งผมว่าทุกคนมันเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ไว้ใจ ความเชื่อใจคุณว่ามันเกิดขึ้นจากความเชื่อใจจริง ๆ หรอ ความเชื่อใจมันก็เกิดจากการที่เราไม่ไว้วางใจ พอเราเริ่มไม่ไว้วางใจเราถึงคิดว่า งั้นฉันต้องเชื่อใจเธอ ไม่ใช่เกิดมาแล้วฉันเชื่อใจเธอทันที มันจะไม่มีสักแว้บเลยหรอที่เราคิดว่า มันจะไปเจอใครส่งยิ้มให้รึเปล่าวะ ในเมื่อความรักมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ แต่เราไม่ได้คิดเรื่องนี้ 24 ชั่วโมง มันแค่แว้บเดียวครับ ผมว่ามันเป็นโมเมนต์ที่น่ารักก็เลยหยิบมาพูด หรือแม้กระทั่งในเวลาที่ทะเลาะกัน แค่เราได้รักกันมันก็ยังดี ก็เป็นเพลง “ก็ยังดี” ทุกคนทะเลาะกันหาเหตุผลมากมาย ก็เพราะว่ายังรักกันอยู่ไงมันถึงอยู่กันได้ ถ้าไม่รักกันก็ถอยไม่ต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องทะเลาะกัน ผมว่ามันเป็นเรื่องที่มีชีวิตมากเลยครับอัลบั้มนี้ ทุกเพลงมันมีชีวิตในแบบของเขาเอง ที่ผ่านมามันก็เป็นอัลบั้มตอนที่ผมเป็นเด็ก เราอาจจะไม่ได้ละเอียดขนาดนี้ แต่วันนี้มันละเอียดขึ้น

Q: พาร์ตดนตรี อิงตามความอินกับแนวดนตรีในช่วงเวลานั้น หรือยังไง

อิงตามคาแรกเตอร์ของนักดนตรีที่เขารู้สึกครับ ไม่ได้อิงว่าช่วงนั้นเทรนด์เป็นยังไง อย่างเพลง “อรุณ” ทำเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว มันถูกสร้างขึ้นมาในวันที่เรารู้สึกว่าตอนม.3 เราเล่นดนตรียังไง เราเล่นด้วยความสุขแบบไหน เพลงนี้เราจะเล่นแบบนั้น เอาสัดส่วนออกไป เอาฟีลลิ่งเข้ามาให้เยอะที่สุด ลืมเรื่องเทคนิคไปก่อน มันก็เกิดเป็นเพลงที่เรารู้สึกขึ้นมา

Q : เพลงไหนของโปเตโต้คือเพลงที่รักที่สุด มันต้องมีพิเศษบ้างล่ะ

มีครับ เพลงที่พิเศษที่สุดสำหรับผมในปัจจุบันนี้คือเพลง “เธอคือเรื่องจริง (ใคร)” อยู่ในบั้มชุดที่เจ็ด เพลงนี้พูดถึงความดาร์ก พูดถึงวันที่เราเจ็บปวดไม่เหลือใคร วันที่เราแย่ เหมือนเราเดินอยู่บนกองขยะความคิดของเรา แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีดอกไม้ดอกหนึ่งบานขึ้นมา เรามองเห็นดอกไม้ดอกนี้ทำให้เรารู้สึกว่าฉันจะไปต่อ

Q: ประกาศว่าปลายปีจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ มีคอนเซ็ปต์มีความพิเศษอย่างไร

ยังเลยครับ ยังไม่มีอะไรเปิดเผย แค่กำหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน กับ 1 ธันวาคม ที่อิมแพ็ค อารีน่า

Q: การเล่นคอนเสิร์ตใหญ่กับคอนเสิร์ตที่เล่นกันปกติ มันต่างกันมากไหมในแง่ความตื่นเต้น ความซีเรียส

ตื่นเต้นประจำครับ คอนเสิร์ตทั่วไปก็ตื่นเต้นว่าเขาจะสนุกไหม จะทำให้เขามีความสุขได้ยังไง ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ต้องเตรียมตัวเยอะครับ ไม่ว่าจะเรื่องแขกรับเชิญ หรือจะทำยังไงให้คนดูกลับบ้านแล้วเขามีความสุขและประทับใจที่สุด นั่นคือความภาคภูมิใจสูงสุดสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ที่เราจะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ครับ จะทำยังไงให้เขาแฮปปี้ที่สุด ประทับใจที่สุดกับสิ่งที่เราจะนำเสนอในรูปแบบที่เขาไม่เคยเจอ ผมอยากลองอะไรใหม่ ๆ หมดเลย ต้องไปดูครับ สองรอบไม่เหมือนกันด้วย (ขายของเก่งมากเลย – แซวตัวเอง) ต้องไปดูกันนะครับ มันเป็นโค้งหนึ่งของชีวิตวงโปเตโต้ที่กำลังจะเกิดขึ้น มาช่วยเป็นกำลังใจให้เขากันเถอะครับ