The Magic Winter ณ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Church on Spilt Blood

เอกลักษณ์ เชิดชู : เรื่อง-ภาพ

Privet ! เสียงทักทายยามเช้าของร้านกาแฟข้างทางง่าย ๆ ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่เต็มไปด้วยหิมะจนทั้งเมืองล้วนเป็นสีขาว มีคนที่เป็นนักท่องเที่ยวตัวยงเคยกล่าวถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไว้ว่า “หน้าต่างแห่งยุโรป” ก็คงจะไม่ผิดนักสำหรับเมืองเก่าแห่งหนึ่งของโลกที่เป็นทั้งเมืองศิลปะ วรรณกรรม และดนตรี ที่สำคัญถูกจัดให้เป็นเมืองมรดกของโลกอีกด้วย

เราหาข้อมูลของการท่องเที่ยวเมืองนี้ในโซเชียลมีเดียเป็นหลัก จนทำให้มาเห็นกับตาว่าเมืองนี้นอกจากวิหาร ปราสาท ที่สวยกว่าหลาย ๆ เมืองในยุโรปแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เดอะ เฮอร์มิเทจ (The Hermitage) ของซาร์แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งแต่เดิมพระราชินีแคทเธอรีนได้เก็บรวบรวมภาพเขียนชื่อดังมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จนต้องสร้างห้องสำหรับเก็บภาพและสมบัติล้ำค่าขึ้นมา ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็น ในเวลาต่อมาจึงได้มีการจัดหมวดหมู่ของสะสมทั้งหมด และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ ซึ่งมีคนเคยคาดเดาว่า ต้องใช้เวลาทั้งหมด 15 ปี ถึงจะดูได้ครบ…

The Hermitage

ภายนอกของพระราชวังใช้โทนสีเขียวขาว รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นสถาปัตยกรรมบาโรก ตัวอาคารมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 ชั้นที่ใหญ่โตมาก เฮอร์มิเทจประกอบไปด้วยอาคาร 5 หลัง ที่ต่อกันไปเรื่อย ๆ ทั้งพระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) อาคารเล็ก (Small Hermitage) อาคารเก่า (Old Hermitage) อาคารใหม่ (New Hermitage) อาคารโรงหนัง (Hermitage Theatre) โดยของสะสมทั้งหมดมีการพูดถึงว่ามีมากกว่า 3 ล้านชิ้น

The Hermitage

หนึ่งในภาพที่ใครหลาย ๆ คนมาที่นี่แล้วอยากจะได้ยลของจริงกับตาอย่าง Madonna and Child (The Litta Madonna) ที่ถูกซื้อมาจากท่าน Count Litta จากอิตาลี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865 กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของนักท่องเที่ยวที่ต่างรุมล้อมเพื่อถ่ายรูป ไม่ต่างจากภาพวาดของโมนา ลิซ่า (Mona Lisa) ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เท่าใดนัก ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ฮ่า ๆ

The Hermitage

จากการท่องเที่ยวในแถบยุโรปมาหลายประเทศจะเห็นได้ว่า พระราชวังในรัสเซียมีความสวยงามและวิจิตรบรรจงมากกว่ายุโรปอีกเท่า ในยุคที่รุ่งโรจน์ของประเทศรัสเซีย ดินแดนแห่งนี้ถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจในสมัยนั้น ผู้คนรุ่มรวยและมีอารยธรรมมาก และอำนาจของกษัตริย์สามารถสร้างทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ

นักท่องเที่ยวอย่างผมใช้เวลาในการเดินทอดน่องในพิพิธภัณฑ์นี้ได้เพียงครึ่งค่อนวันเท่านั้น และเลือกโซนศิลปะที่เป็นจริตตัวเอง อย่างห้องรูปปั้นต่าง ๆ ที่รวบรวมมาไว้จากทั่วโลก หรือเดินเก็บและมองดูศิลปะสไตล์บาโรกที่ประดับอยู่ตามบันไดทางขึ้นบ้าง ตามฝาผนังบ้าง ซึ่งทำให้เชื่อกับตัวเองอย่างสนิทใจว่า พระราชวังในรัสเซียสวยกว่าพระราชวังในยุโรปจริง ๆ ความวิจิตรของการตกแต่งพระราชวังแห่งนี้แตกต่างจากหลาย ๆ ที่ในยุโรป จะเห็นได้ว่าหลายพระราชวังในรัสเซียจะนำหินสีอย่างมาลาไคต์สีเขียวมาประดับประดาตัดกับสีทองและสีขาวอย่างลงตัว บ้างก็ทำเป็นเสาสีเขียวขนาดใหญ่ บ้างก็ทำเป็นแจกันขนาดใหญ่หลายคนโอบ ซึ่งในอดีตหินชนิดนี้ถูกพบมากในประเทศรัสเซีย แต่ในปัจจุบันถึงจะยังหาได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถขุดพบหินมาลาไคต์ขนาดใหญ่ที่พอจะทำเสาหรือเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งได้อีกแล้ว รวมถึงปัจจุบันก็มีราคาสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของหินสีอีกด้วย

ออกจากเดอะ เฮอร์มิเทจ กลับมาสู่ถนนสายสำคัญอย่าง ถนน Nevsky Prospect ที่ได้ชื่อว่าเป็น ฌ็องเซลิเซ่ แห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สองฝั่งถนนเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสวยงาม มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าพื้นเมืองรัสเซีย และสถานที่สำคัญของเมืองมากมาย สิ่งที่ชอบอย่างหนึ่งของประเทศนี้คือผู้คนยังคงให้ความสำคัญกับหนังสือ เราจะเห็นร้านหนังสือเก่า หนังสือใหม่ มีขายตลอดสองข้างทาง บ้างก็เห็นคุณลุงนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟบ้าง เด็กวัยรุ่นที่อ่านบ้าง

ในช่วงที่หิมะตกจนเริ่มละลายและจับกลุ่มเป็นก้อนน้ำแข็งสองข้างทาง เราไถลลื่นเป็นครั้งคราว ระหว่างทางเห็นพนักงานทำความสะอาดหลังคากวาดหิมะบนหลังคาอยู่เป็นระยะ

เกือบสี่โมงเย็น ผมและเพื่อนเดินเตร็ดเตร่แวะร้านของเก่าบ้าง ร้านขนมบ้าง จนรู้สึกตัวอีกทีก็กำลังเดินตามถนนเลียบคลองแถว ๆ Khram Spasa na Krovi แล้ว สายตาก็เริ่มมองเห็น Church of the Savior on Spilled Blood หรือ Church on Spilt Blood วิหารหยดเลือดที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่โดดเด่นตระหง่านสาดสีสันตัดกับหิมะกองสีขาวเท่าภูเขาตรงหน้า

เราเดินเข้าไปด้านในที่กำลังมีการบูรณะภายในวิหารและเดินออกทางด้านหลังที่มีสวนขนาดใหญ่ขนานกับลำคลองที่กลายเป็นน้ำแข็ง และข้ามถนนมาเพื่อบันทึกภาพวิหารอย่างสนุกสนาน ความหนาวเย็นลดหายไปทันทีเมื่อเราสาละวนกับการถ่ายรูปในวันที่ปราศจากนักท่องเที่ยวเช่นนี้ จนเริ่มจะหนึ่งทุ่ม คนหนึ่งในคณะให้สัญญาณว่าเราควรบอกลาวิหารหยดเลือดเพื่อไปยังที่อื่นต่อ

เราเดินเลาะมายัง ถนน Nevsky Prospect อีกครั้ง ในช่วงสองทุ่มของที่นี่อากาศลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนเริ่มใช้ผ้าพันคอหลาย ๆ ทบเพื่อป้องกันความหนาว ถนนที่เปียกลื่นไปด้วยหิมะละลายยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินขึ้นอีกขั้น ตึกอาคารและที่ทำการที่สำคัญ ๆ เริ่มเปิดไฟส่องอาคารจนเห็นความสวยงามของสถาปัตยกรรมท่ามกลางความมืดมิด เราแวะร้านนั้นร้านนี้ด้วยความอยากรู้ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าตึกหัวมุมบนถนนสายหลักนี้ “นี่ไง Eliseyev Emporium” ผมโพล่งด้วยความดีใจที่เห็นสถานที่ที่ตัวเองลิสต์ไว้ว่าจะต้องมาให้ได้

Eliseyev Emporium

Eliseyev Emporium เป็นห้างเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1902 โดยพี่น้องตระกูล Elisseeff ตั้งอยู่เลขที่ 56 ถนน Nevsky Prospect ออกแบบก่อสร้างโดยสถาปนิกนามว่า Gabriel Baranovskii จุดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นการตกแต่งทั้งตัวตึกและภายในอาคารในสไตล์อาร์ตนูโว (art nouveau) ที่ทำให้ร้านค้าแห่งนี้กลายเป็นร้านค้าปลีกที่สวยงามติดอันดับโลกในปัจจุบัน

ภายนอกอาคารมีรูปปั้นประติมากรรมทั้งสี่ ประกอบด้วย รูปปั้นนักวิทยาศาสตร์ รูปปั้นนักพาณิชย์ รูปปั้นนักอุตสาหกรรม และรูปปั้นนักศิลปะ ที่ออกแบบโดย Amandus Adamson ภายในอาคารคลาคล่ำไปด้วยอาหาร ขนมปังฝรั่งเศส และเบเกอรี่นานาชนิดที่ขึ้นชื่อของรัสเซีย บ้างก็มีวัตถุดิบนานาชาติ รวมถึงโซนคาเฟ่ที่เราสามารถเลือกขนมในตู้กระจกทรงโค้งรายรอบอาคาร ของขึ้นชื่ออย่างชีส ไข่ปลาคาเวียร์ และไวน์ชั้นดี ดูจะเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของห้างนี้

เราเดินเล่นซื้อขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชอบ และเดินถ่ายรูปรอบห้าง ซึ่งภายในวิจิตรตระการตามาก สถาปัตยกรรมดุจราชวังหลาย ๆ ที่ที่เคยผ่านพบ จิตรกรรมฝาผนังมีทั้งภาพวาดและรูปปั้นถูกจัดวางและตกแต่งอย่างเหมาะสม โถงเพดานประดับประดาด้วยกระจกสี นับเป็นงานสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งของห้างเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก เราเดินถ่ายรูปและ story ลงในอินสตาแกรมอย่างสนุกสนานกับสถานที่ที่แปลกตาและน่าพิสมัยแห่งนี้

ลูกค้าของห้างเป็นคนรัสเซียเสียส่วนใหญ่ และนิยมแวะซื้อวัตถุดิบทั้งสดและแห้งกลับบ้าน ด้วยความที่ Eliseyev Emporium ปิดดึก จึงมีหนุ่มสาวเป็นกลุ่มบ้างที่นั่งจิบกาแฟร้อนและขนมในช่วงค่ำ ๆ แบบนี้ แตกต่างจากเราที่ซื้อของและขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดกลับบ้าน

ความสวยงามของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคือมีบรรยากาศ สภาพบ้านเมือง และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแตกต่างจากประเทศยุโรปอื่น ๆ ที่เคยไปมา รวมถึงวัฒนธรรมและการใช้ชีวิต เราเฉยชากับการเพิกเฉยของคนรัสเซียที่ดูท่าไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก แต่ลึก ๆ แล้วเขาจิตใจดีและช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แตกต่างจากที่เคยได้ยินได้ฟังจากผู้ที่เคยไปมาก่อนหน้า อาจจะมีบ้างที่เกิดเหตุการณ์ลุ้นระทึกบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนี้อันตราย


ระยะเวลา 10 กว่าวันในสองเมืองใหญ่ของรัสเซีย ทำให้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว ประเทศนี้ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศในดวงใจ ที่คิดถึงเมื่อไรก็อยากกลับไปเยือนอีกครั้ง คิดถึงนะ รัสเซีย