เฌอปราง BNK48 ชีวิตใต้แสงไฟที่เริ่มด้วยแรงบันดาลใจ และ SOFT POWER จากญี่ปุ่น

เฌอปราง อารีย์กุล กับหนังสือ SOFT POWER

จากเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ก้าวขึ้นมาเป็นเมมเบอร์หรือสมาชิกที่ดังที่สุดของวงไอดอลที่ดังที่สุดในประเทศไทย และได้รับแรงสนับสนุนจากแฟน ๆ ให้ไปติดอันดับ 39 ในการเลือกตั้งใหญ่ของ 48Group ที่ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลในสังคมไทยมากคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน …ชีวิตที่อยู่ใต้สปอตไลต์ของเฌอปราง อารีย์กุล หรือ “เฌอปราง BNK48” จึงมีความน่าสนใจมากในสายตาของหลาย ๆ คน

ด้วยความน่าสนใจที่หลายคนเห็นตรงกัน จึงเกิดเป็นโปรเจ็กต์หนังสือเล่มใหม่ของสำนักพิมพ์มติชน ชื่อหนังสือว่า “SOFT POWER” ซึ่งจะพาผู้อ่านเข้าไปทำความรู้จักกับเฌอปรางมากขึ้น โดย สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ “นิ้วกลม” เป็นผู้สัมภาษณ์และถ่ายทอดเรื่องราวของไอดอลคนดังออกมาเป็นหนังสือในคุณภาพที่การันตีด้วยชื่อนักเขียนและสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์

เฌอปราง อารีย์กุล เจ้าของเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจบอกว่า หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอเยอะมาก ๆ ไล่มาตั้งแต่เด็กว่าโตมาแบบไหน เรียนอะไร ทำอะไรมาบ้าง

คนดัง 2 คนนัดเจอกัน 5-6 ครั้งตามร้านกาแฟบ้าง ร้านอาหารบ้าง เพื่อสัมภาษณ์และพูดคุยกันครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมง นิ้วกลมทำความรู้จักเฌอปรางไปเรื่อย ๆ จากคำถามของเขาและคำตอบของเธอ ซึ่งเฌอปรางบอกว่าเป็นการนั่งคุยและแชร์ข้อมูลกันทั้งสองฝ่าย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเธอที่เป็นฝ่ายแชร์เพื่อให้นักเขียนได้เก็บข้อมูลไปเขียนหนังสือได้อย่างเต็มที่ และถึงขั้นที่เฌอปรางชวนนิ้วกลมไปร่วมงานแฟนมีตติ้งด้วย เพื่อให้ได้เข้าใจตัวเธอและแฟนคลับมากขึ้น

“เรื่องมันหลากหลายมากเลย ตั้งแต่ความชอบ แนวคิดต่อเรื่องต่าง ๆ และอยากทำอะไรต่อไปในอนาคต ที่ผ่านมาเป็นยังไง ตอนนี้เป็นอย่างไร”

“เฌอน่าจะยังไม่เคยเล่าละเอียดขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเคยเล่าอะไรไปบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือมีรูปภาพค่ะ รูปน่าจะยังไม่เคยเห็นที่ไหน เฌอต้องไปค้นอัลบั้มตั้งแต่เด็กมาก ๆ มาเลย ไม่มีดิจิทัลไฟล์ของตอนนั้นเลย เฌอไปค้นมาให้กับหนังสือเล่มนี้” เธอพูดถึงความพิเศษของหนังสือเล่มนี้

เฌอปราง อารีย์กุล

ส่วนชื่อของหนังสือ คำว่า “SOFT POWER” อาจจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับเฌอปราง หรือ BNK48 หรือวัฒนธรรมไอดอลเท่านั้น แล้วคำนี้ถูกเลือกมาใช้เป็นชื่อหนังสือได้อย่างไร ?

“วันนั้นเราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมว่าเฌอได้รับอิทธิพลมาจากอะไรบ้าง เฌอก็บอกว่าเฌอได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น พอเริ่มโตมันเป็นช่วงที่เกาหลีมา แล้วทำไมเกาหลีถึงกลายเป็นประเทศที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มจากอะไร เขาเริ่มจาก soft power วัฒนธรรมเพลง ศิลปิน อะไรพวกนี้ เขาทำให้คนรู้จักประเทศเขาจากตรงนั้น เราก็เลยรู้สึกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นก็เคยทำกับเรานี่นา เมื่อก่อนมันเป็น J-pop แล้วก็มี K-pop มา หนูก็เลยพูดว่าหนูได้รับสิ่งที่เรียกว่า soft power จากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาค่อนข้างเยอะตั้งแต่เด็กที่ดูโมเดิร์นไนน์การ์ตูนวันเสาร์, อาทิตย์ แล้วพี่เอ๋เขาก็บอกว่าคำนี้ดี ชอบ อยากเอาไปตั้งเป็นชื่อหนังสือ เขาถามว่าโอเคไหม หนูก็บอกว่าแล้วแต่พี่ค่ะ พี่เป็นคนเขียน สุดท้ายทุกคนก็เห็นด้วย เพราะหนูคิดว่ามันเป็นสิ่งที่หนูได้รับมา” เฌอปรางเล่าให้ทราบที่มาของชื่อหนังสือ ซึ่งเป็นคำที่อธิบายความเป็นมาของเธอได้ดี

ลงดีเทลเข้าไปอีก ในบรรดา soft power จากวัฒนธรรมญี่ปุ่น สิ่งที่สาวน้อยคนนี้ชอบมากก็คือ วัฒนธรรมไอดอล และคนที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอก้าวมาเป็น เฌอปราง BNK48 ก็คือ ยามาโมโตะ ซายากะ ไอดอลสาวรุ่นพี่ กัปตันวง NMB48 ที่เมืองโอซากา

“เขาเป็นคนที่ทำให้เฌอรู้สึกว่าเฌอชอบคนสไตล์นี้ ไทป์นี้ เราอยากรู้จัก เราอยากรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราเลือกเข้ามา BNK48 ไม่งั้นก็คงไม่ได้เข้ามา BNK48” เธอพูดถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองก่อนจะอธิบายต่ออีกว่า

“ด้วยความที่เราชอบคอนเซ็ปต์โดยรวมของวงที่เราได้ให้กำลังใจ ได้มองคนคนหนึ่งเติบโตตั้งแต่วันที่เขาเริ่มต้นการฝึกซ้อม แล้วเรารู้สึกว่ามันมีความพยายามอยู่ในเส้นทางของเขา ทำไมเราถึงจะไม่พยายามบ้างในเส้นทางของเรา”

ความพยายามของเหล่าไอดอลเป็นแรงบันดาลใจให้เฌอปรางพยายามในเรื่องการเรียนหนังสือก่อนที่จะมีไอดอลเกิดขึ้นในประเทศไทย พอมีการประกาศรับสมัครเด็กสาวเข้าร่วมวงน้องสาขาของ 48Group ในกรุงเทพฯ เฌอปรางจึงสนใจ

“คิดว่าจะลองดีไหม เพราะเราก็ไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน และไม่เคยคิดว่าเราจะอยู่ในวงการแบบนี้เลย แต่ถ้าเป็นสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราชอบแบบนี้เราลองไหม แล้วพอได้โอกาสมาเรื่อย ๆ จนถึงการได้เข้ามาเป็นเมมเบอร์ ได้ทำงานจริง ๆ ก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าเอาเลย ถือว่าได้เรียนรู้สิ่งที่ไอดอลของเราเขาเผชิญที่ผ่านมา จะได้เข้าใจเขามากขึ้น หรือได้เห็นว่าเขาทำอะไรบ้าง”

เพราะชอบในคอนเซ็ปต์ “ความพยายาม” เฌอปรางจึงคิดว่าเธออยากสนับสนุนคอนเซ็ปต์นี้ให้เกิดในเมืองไทย เธอคิดว่าถ้าสามารถเป็นหนึ่งในไอดอลที่สร้างแรงบันดาลใจ ทำให้เด็ก ๆ น้อง ๆ ที่ติดตามแล้วมีแรงบันดาลใจเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นได้ก็น่าจะดี

“พอได้ทำก็รู้สึกว่ามันดีจังเลย มันเปิดโอกาสชีวิตหนูอีกเยอะมาก จริง ๆ ต้องขอบคุณเขาที่เป็นแรงบันดาลใจ”

เฌอปรางมีโอกาสไปร่วมงาน ร่วมการแสดงของ 48Group ที่ญี่ปุ่น และได้เจอกับไอดอลของตัวเองหลังเวทีการแสดง เป็นความปลื้มปีติที่เธอเล่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสุดแสนจะร่าเริง

“ได้ไปเจอตัวจริงแล้วร้องไห้ ด้วยความที่แฟนคลับส่งเราไปในอันดับค่อนข้างสูง (หมายถึงอันดับในการเลือกตั้งใหญ่ World Senbatsu Election) เป็นที่รู้จักที่ญี่ปุ่นพอสมควร เป็นกัปตันวง BNK48 เป็นน้องคนหนึ่งที่เขาก็คงถือว่าทำผลงานได้ดีในบ้านเขา เขาก็จำหนูได้ และได้มีโอกาสแสดงต่อหน้าเขา เขาก็จำได้ว่านี่คือเฌอปราง เขาก็มาเจอหลังเวทีและบอกว่าเมื่อกี้ดูโชว์อยู่นะ ดีมากเลย เราก็ โอ้ว ตัวลอยค่ะ แฮปปี้มากค่ะ ยิ่งกว่าฝันอีกค่ะ การที่เขารู้ว่าเรามีเขาเป็นแรงบันดาลใจ ก็หวังว่าเขาจะดีใจที่คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง เติบโตมาได้ขนาดนี้เพราะมีเขาเป็นแรงบันดาลใจ”

การที่รับรู้และมีประสบการณ์ตรงว่าแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ถามว่าพอตัวเองก้าวมาอยู่ในจุดที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นแล้ว การวางตัวต้องปรับเปลี่ยนไปไหม

เฌอปรางตอบว่า “ไม่เปลี่ยนจากเดิม เราทำดีที่สุดแม้จะไม่มีใครมาบอกว่าเขามีเราเป็นแรงบันดาลใจ แต่งานของเราคือการเป็นไอดอล เราก็ทำหน้าที่แสดง สร้างความสุข เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ งานจับมือมีคนมาให้กำลังใจ เราก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุดของเรา ถ้ามีฟีดแบ็กกลับมาเป็นบวกก็ดีใจ ก็เป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เธอเชื่อมันใช่จริง ๆ”

จากนางสาวเฌอปรางที่เป็นวัยรุ่นตั้งใจเรียนหนังสือทั่วไป มาเป็น “เฌอปราง BNK48” ได้ประมาณ 4 ปี เจ้าตัวมองตัวเองว่า ตอนนี้สบาย ๆ มากขึ้น รับมือกับเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และเข้าใจระบบการทำงานในวงการบันเทิงมากขึ้น

เฌอปรางพูดถึงงานและอนาคตในวงการบันเทิงว่า มีงานที่เธออยากทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำก็คือ งานพิธีกร ส่วนงานเบื้องหลังที่ปัจจุบันก็ได้มีส่วนร่วมทำอยู่แล้วกับ BNK48 เธอก็อยากจะทำให้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นโปรดิวเซอร์หรือการดูแลวงในภาพใหญ่ขึ้น

นอกจากนั้น เธอมีความสนใจส่วนตัวที่อยากทำ คือ อยากทำโฟโต้บุ๊กที่ไปถ่ายรูปในสถานที่ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เช่น หอดูดาว เพื่อให้คนเห็นว่าเมืองไทยมีสถานที่เหล่านี้อยู่จริง ๆ “เป็นไอเดียหนึ่งที่สนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ได้ด้วยค่ะ” บัณฑิตสาวจากภาควิชาวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าว

ส่วนอนาคตในภาพกว้างของชีวิตต่อจากนี้ เฌอปรางตั้งใจว่า “ระยะใกล้จะสนับสนุนวงให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ เพราะว่าอันนี้เป็นความตั้งใจที่หนูเข้ามาตั้งแต่แรก และหลังจากนี้ก็ยังอยากจะอยู่ในสื่อให้แฟน ๆ ได้ติดตามอยู่เรื่อย ๆ ไม่อยากจบการศึกษา (ออกจากวง) แล้วหายไปเลย เพราะรู้สึกว่าเขาส่งหนูมาขนาดนี้ ให้หนูมีโอกาสในชีวิตเยอะแยะมากมายขนาดนี้ หนูก็จะยังคงเป็นความสุขให้เขาต่อไปเท่าที่หนูจะทำได้”

ขณะที่ความฝันที่อยากเรียนต่อปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ที่มีมานานก็ยังคงอยู่ แต่หลังจากเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เธอก็มีความสนใจด้านการบริหารธุรกิจเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก จนเจ้าตัวเอ่ยว่า “ตอนนี้มีสองจิตสองใจค่ะ”

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากการพูดคุยกับเฌอปรางในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ในหนังสือ SOFT POWER ที่สำนักพิมพ์มติชนกำลังจะวางขายในงานมหกรรมหนังสือช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นตุลาคมนี้ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ได้คุยกับเฌอปรางน่าจะมากกว่า 10 ชั่วโมง ฉะนั้น จึงคาดหวังได้ว่าในหนังสือเล่มนี้จะมีเรื่องราวจากการสำรวจชีวิตและความคิดของ “กัปตันเฌอปราง” ทั้งแบบกว้างและลึกมาให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักเฌอปรางแบบเต็มอิ่ม

“ก็หวังว่าจะเป็นกำลังใจ หรือแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับคนที่ได้อ่าน ถ้าเป็นแฟน ๆ ก็น่าจะได้รู้จักเฌอในหลายมุมมากขึ้น และได้เข้าใจว่าเฌอโตมายังไง และอาจจะเข้าใจความเป็นเฌอมากขึ้น หรือใครที่ไม่เคยรู้จักก็มาทำความรู้จักกันได้นะคะ” คือความคาดหวังและคำเชิญชวนจากเฌอปราง BNK48 ที่ได้เปิดเปลือยเรื่องราวในชีวิตของเธอครั้งแรกในหนังสือเล่มนี้