“ไทยสมายล์” เหินฟ้าสู่ “เจิ้งโจว” (2) ดื่มด่ำประวัติศาสตร์จีน
สำหรับวันที่ 2 ของการเดินทางเยือนนครเจิ้งโจว และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในมณฑลเหอหนาน คณะเราประเดิมด้วย ”เสี้ยวลิ้มยี่” หรือที่คนไทยคุ้นหูกันดีในชื่อ ”วัดเส้าหลิน” ซึ่งมีอายุกว่า 1,500 ปี ตั้งอยู่ในอำเภอเติงเฟิง ของเมืองเจิ้งโจว อยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาใหญ่นาม ”ซงซาน”
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
หากใครชื่นชอบหรือเคยติดตามภาพยนตร์จีนแนวพีเรียด ย่อมรู้ดีว่าวัดเส้าหลินนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องศิลปะมวยจีน หรือ “กังฟู” ก่อตั้งโดยปรมาจารย์ ”ตั๊กม้อ” หรือ “พระโพธิธรรม” พระภิกษุชาวชมพูทวีป (อินเดีย) เจ้าอาวาสท่านแรกของวัด
ตามตำนานว่ากันว่าท่านตั๊กม้อเป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดินแคว้นหนึ่งในอินเดียปราดเปรื่องและแตกฉานในคัมภีร์ของทุก ๆ ศาสนา ตลอดจนเรื่องอักษรโบราณกับวรรณคดี และได้เดินทางจากอินเดียเพื่อเผยแผ่พุทธนิกายเซนในแดนมังกร
พร้อมให้กำเนิดวิชากังฟูที่วัดแห่งนี้ เนื่องจากบรรดาหลวงจีนต้องนั่งสมาธินาน ส่งผลให้ร่างกายเมื่อยล้า และสุขภาพอาจเสื่อมโทรมได้ ประกอบกับที่ตั้งของวัดเส้าหลินอยู่ในเขตป่าที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้าย ท่านตั๊กม้อจึงคิดค้นกระบวนท่าเพลงหมัดมวยขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับเหล่าสัตว์ร้าย และออกกำลังกายในคราวเดียว
กระทั่งเพลงมวยได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยภายในวัดได้เปิดโรงเรียนสอนกังฟูเส้าหลิน ทำให้ขณะนั่งรถรางกับตอนเดินชมจุดต่าง ๆ ภายในวัด ได้เห็นบรรยากาศการฝึกซ้อมวิทยายุทธของเด็กรุ่นใหม่ไปด้วย
ส่วนภายในบริเวณวัดเส้าหลิน จุดไฮไลต์คือ ”วิหารเทวราช” โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณ และ “วิหารตั๊กม้อ” หรือวิหารเจ้าอาวาส ซึ่งนอกจากจะประดิษฐานพระพุทธรูปแล้ว พอลองสังเกตตามพื้นวิหารจะเป็นหลุมบ่อคล้ายพื้นทรุดทั่วไป
แต่เหตุที่แท้จริงเกิดจากการฝึกเพลงยุทธ์ของ18 อรหันต์ทองคำแห่งวัดเส้าหลินในอดีตนั่นเอง
และในช่วงบ่ายเราเดินทางเข้าสู่เมือง” ลั่วหยาง” เยือน “ถ้ำผาประตูมังกร” หรือ “หลงเหมินสือคู”ถือเป็นกลุ่มถ้ำบนหน้าผาตั้งตระหง่าน อายุกว่า 1,500 ปี โดดเด่นด้วยประติมากรรมโบราณตระการตา จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
หากมองจากมุมไกล จะเห็นว่าตลอดระยะทางของถ้ำกว่า 1 กิโลเมตร มีการสกัดหินผาเป็นโพรงมากกว่า 2,000 โพรงเลยทีเดียว ภายในโพรงถ้ำมีการเขียนภาพจิตรกรรม และแกะสลักพระพุทธรูปทั้งองค์จิ๋วไปจนถึงองค์ใหญ่รวมกว่า 1 แสนองค์
เหตุผลที่มีมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะได้รับการอุปถัมภ์จากชนชั้นสูงในอดีตกาลอย่างต่อเนื่อง สะสมมานานเป็นระยะเวลากว่า 400 ปี
จุดไฮไลต์ของถ้ำประตูมังกร หนีไม่พ้น “อารามเฟิ่งเซียน” มีพระพุทธรูปองค์ประธานขนาดใหญ่ นามว่า ”พระโพธิสัตว์ไวโรจนะ” สูงถึง 17.14 เมตร เฉพาะเศียรสูง 4 เมตร ใบหูยาว 1.9 เมตร
ว่ากันว่าช่างฝีมือตั้งใจแกะสลักพระประธานองค์นี้ให้มีรูปพระพักตร์เหมือน”พระนางบูเช็กเทียน”จักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวที่ได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์จีน หมายเอาใจพระนาง
นอกจากนี้ มัคคุเทศก์สาวประจำทริปบอกให้เราลองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพระพุทธรูปจากหลาย ๆ มุม แล้วจะพบว่า ไม่ว่ายืนจ้องจากมุมใด ก็เหมือนดวงตาคู่นั้นประสานสายตาตอบเราอยู่เสมอ
จากถ้ำประตูมังกรเรามุ่งหน้าสู่โปรแกรมสุดท้ายของวันสู่”ศาลเจ้ากวนอู” ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองลั่วหยาง สถานที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องราวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่นาม “กวนอู” สมัย ”สามก๊ก” ได้รับการยกย่องจากชาวจีนให้เป็นเทพเจ้า ชาวจีนต่างเข้ามากราบไหว้ขอพรด้านโชคลาภ
ภายในประกอบด้วยตำหนัก 3 แห่ง มีรูปปั้นเทพเจ้ากวนอูในท่าทางแตกต่าง เช่น ขณะนั่งอ่านตำราศึก ขณะนอนบนเตียงแต่ไม่อาจปิดดวงตาให้สนิทได้ เพราะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
โดยด้านหลังสุดของศาลเจ้า เชื่อว่าเป็นจุดที่ฝังศีรษะของท่านกวนอู ทำให้ผู้คนนิยมหยอดเหรียญ 2 เหรียญ เพื่อขอพร 2 ด้านอย่างเรื่องการงานและสุขภาพ
เชื่อว่ายิ่งเหรียญไหลตกกระทบพื้นดัง ท่านกวนอูได้รับรู้คำขอพรจากเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉบับหน้า…มาติดตามตอนจบ !