#throwback อิสตันบูล เที่ยวมหานคร 2 ทวีป ในวันที่เรายังใช้ชีวิตได้ปกติสุข

ท้องฟ้าสีเทา : เรื่อง-ภาพ

เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่คนทั่วโลกต้องใช้ชีวิตภายใต้ข้อจำกัด เพราะโรคโควิด-19 เกิดขึ้นมาแล้วทำลายทั้งชีวิตและวิถีชีวิตของมนุษย์ ประเมินตามสถานการณ์ตอนนี้ เราก็น่าจะต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้ข้อจำกัดแบบนี้ไปอีกนาน

เราเห็นกันได้โดยทั่วไปว่า คนส่วนมากอึดอัด เหี่ยวเฉา ซึมเศร้า รู้สึกอยากออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาอย่างที่เคยเป็นมา และอยากผ่อนคลายกายใจจากความเครียดที่รุมเร้า แต่ก็อีกนั่นแหละ เราต่างก็รู้กันว่าความปรารถนาที่ว่านี้ยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าสถานการณ์โรคระบาดจะสงบลง

“แค่ดูรูปสถานที่ที่อยากไปก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว” คือ ความรู้สึกของหลายคนในตอนนี้ ที่ยอมรับข้อจำกัดของสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราจึงเปิดดูรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อชุบชูจิตใจตัวเอง และหลายคนก็แบ่งปันภาพเหล่านั้นลงในโซเชียลมีเดีย พร้อมติดแฮชแท็ก แสดงว่านี่คือภาพที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าได้ไปเที่ยว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ไปไหน บ้างก็ #เที่ยวทิพย์ บ้างก็ #throwback ตามแต่ใครจะเลือกใช้คำไหน

ผู้เขียนเองก็เปิดดูรูปภาพแล้ว อยากจะ #throwback บ้างเหมือนกัน ซึ่งสถานที่แห่งนั้นที่ย้อนความทรงจำกลับไปก็คือ อิสตันบูล มหานครที่อยู่ในโลเกชั่นสุดพิเศษของโลก เมืองเดียวที่อยู่ในเขตของ 2 ทวีป และในแง่ประวัติศาสตร์ก็เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ระดับโลก ซึ่งในแง่ประวัติศาสตร์จะขอเก็บไว้กล่าวถึงในตอนต่อไป (เราจะมีตอนที่ 2 ด้วยล่ะ)

อิสตันบูลเป็นมหานครที่มีความสำคัญที่สุดของประเทศตุรกี เป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของประเทศ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจนหลายคนคิดว่าเป็นเมืองหลวง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่

ที่สำคัญมากถ้าเราพูดเรื่องการออกท่องเที่ยวก็คือ มหานคร 2 ทวีปแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับท็อป 10 ของโลก หลังจากโควิด-19 สงบลงน่าจะมีคนมากมายที่เลือกให้ที่นี่เป็นปลายทางแรกที่จะเดินทางไปเยือน

ผู้เขียนไปเยือนอิสตันบูลก่อนจะเดินทางต่อไปยังเยอรมนี เมื่อปลายปี 2019 เพียงเดือนเดียวก่อนที่ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จะเริ่มออกอาละวาดในประเทศจีน ทริปนั้นเราได้รับการดูแลต้อนรับและพาเที่ยวโดยเจ้าบ้าน เตอร์กิชแอร์ไลน์ (Turkish Airlines) ในโอกาสที่เตอร์กิชแอร์ไลน์เปิดเลานจ์แห่งใหม่ที่สนามบินอิสตันบูล ซึ่งกว้างใหญ่และอลังการสุด ๆ

เมื่อนึกถึงการออกไปท่องเที่ยวทีไร ทริปนี้ก็เป็นทริปที่นึกถึงเสมอ ในฐานะทริปสุดท้ายก่อนเกิดโควิดที่ทำให้วิถีชีวิตคนทั่วโลกไม่ปกติสุขเหมือนเดิม

อิสตันบูลเท่าที่รู้จักก่อนหน้านี้ คือ เป็นเมืองลูกครึ่ง 2 ทวีป พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองอยู่ในทวีปเอเชีย อีกพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เล็กกว่าแต่สำคัญกว่าอยู่ในทวีปยุโรป โดยมีช่องแคบบอสฟอรัสคั่นกลาง

พอได้ไปเยือน ไปเห็นอิสตันบูลด้วยตัวเอง ก็พบว่าอิสตันบูลมีความลูกผสมในทุก ๆ แง่

สถาปัตยกรรมก็กึ่ง ๆ ยุโรป กึ่ง ๆ เอเชีย กึ่งคริสต์ กึ่งอิสลาม

อาหารการกินนั้น พนักงานของเตอร์กิชฯบอกว่า เป็นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน หรือยุโรปใต้ ส่วนที่เราเห็นด้วยตาและลิ้มรสด้วยตัวเองมันก็เป็นเมดิเตอร์เรเนียนที่อุดมด้วยเครื่องเทศจัดจ้านหลากสีแบบเอเชียตะวันออกกลาง ส่วนขนมของหวานเห็นจะเป็นแบบแถบเอเชียมากกว่า คือ เน้นน้ำตาลและรสหวานจัด

ชาวเมืองอิสตันบูลนับถือศาสนาอิสลามกว่า 99% ของประชากรทั้งหมดในเมือง แต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การแต่งตัว แฟชั่น กลับเหมือนชาวยุโรปมากกว่า เราเห็นคนคลุมผมน้อยมาก ถ้าเทียบสัดส่วนประชากรที่เป็นมุสลิมเกือบทั้งเมือง หน้าตาผู้คนชาวเมืองก็เป็นแบบที่เราเรียกกันว่า “แขกขาว” หน้าตาคมแบบแขก ผิวขาว ผมดำ เป็นส่วนใหญ่

ขณะที่นักท่องเที่ยวจะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ของเมือง เราก็เห็นชาวเมืองออกมานั่งตากแดด จับกลุ่มพูดคุยกันตามพื้นที่สาธารณะในเมือง

กิจกรรมหนึ่งที่เป็นที่นิยมของชาวอิสตันบูลเห็นจะเป็นการตกปลาที่มีให้เห็นโดยทั่วไปตามแนวชายฝั่ง และบนสะพานกลางเมือง

คณะเล็ก ๆ ของเราได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ประจำเมืองในพื้นที่ประวัติศาสตร์อิสตันบูล (Historic Areas of Istanbul) เท่าที่พอมีเวลาไปได้

ที่แรกที่เข้าไปชมคือ พระราชวังโทปคาปิ หรือ พระราชวังทอปกาเปอะ (Topkapi Palace) พระราชวังอายุ 600 ปี ซึ่งสร้างในสมัยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน หลังพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้

ปัจจุบันที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวชม แต่ชาวเมืองอิสตันบูลเองก็ยังเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ และนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันเยอะตลอด นอกจากความน่าสนใจของสิ่งปลูกสร้างอายุ 600 ปี โดยส่วนตัวรู้สึกว่าต้นไม้และสนามหญ้าที่นี่สวยงามมีเสน่ห์มาก

ออกจากโทปคาปิ เราเดินไปยัง วิหารเซนต์โซเฟีย หรือ สุเหร่าฮาเกีย (Hagia Sophia) ที่อยู่ไม่ไกลกัน วิหารแห่งนี้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ปัจจุบันเราเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของสิ่งปลูกสร้าง แต่มองดูแล้วก็ไม่ได้วิจิตรบรรจงเท่าไหร่นัก แต่เพราะอะไรนั้นจะเก็บไว้กล่าวถึงในตอนต่อไป (อีกแล้ว)

จากวิหารเซนต์โซเฟีย เราเดินผ่านสวน Sultan Ahmet Park เพื่อจะไปชมความสวยงามของสุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ระหว่างที่เดินเราเพลิดเพลินกับการมองดูผู้คนชาวเมืองที่ออกมานั่งชิลกลางแจ้ง เด็ก ๆ วิ่งเล่น วัยรุ่นและผู้ใหญ่จับกลุ่มคุยกัน

พอไปถึงสุเหร่าสีฟ้า เราไม่ได้เห็นความสวยงามของมันเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นอยู่ระหว่างบูรณะซ่อมแซม จึงเดินดูภายในแค่แป๊บเดียว ส่วนภายนอกนั้น ด้วยขนาดที่ยิ่งใหญ่มหึมาของสิ่งก่อสร้างทำให้เราไม่ได้เห็นครบองค์ประกอบภาพรวมสวย ๆ เหมือนที่เห็นในภาพถ่ายมุมสูง

นอกจากพื้นที่ประวัติศาสตร์ เราก็ได้ไปช็อปปิ้งที่ ย่านเบโยกลู (Beyoglu) มี หอคอยกาตาลา (Gatala Tower) สูงโดดเด่นเป็นสง่า ที่นี่ก็เป็นอีกรูปแบบไลฟ์สไตล์ของชาวตะวันตกที่นิยมช็อปปิ้งในย่านหรือถนนแห่งการช็อปปิ้ง เดินกลางแจ้งแล้วแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ คนหนุ่มสาวเดินกันขวักไขว่ คนมีอายุหน่อยก็ออกมาซื้อของและนั่งเล่นเหมือนที่เห็นในย่านอื่น ๆ

อีกหนึ่งวิถีและถือเป็นสีสันของเมืองอิสตันบูลที่จะไม่ไปไม่ได้ก็คือตลาด ซึ่งตลาดใหญ่ ๆ ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องไปก็คือ Grand Bazaar (Kapali Carsi) เป็นตลาดที่ถูกสร้างและตกแต่งอย่างสวยงาม โดยเฉพาะบนฝ้าเพดานทรงโค้ง สินค้าที่เห็นเยอะก็จะเป็นพวกผ้า พรม ขนม เครื่องเทศ และจานชามเซรามิกลวดลายสีสันสดใส

โดยภาพรวม อิสตันบูลเป็นเมืองที่ผู้คนออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งกันอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะไปย่านไหนก็เห็นผู้คนเดินไปมา หรือทำกิจกรรมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ในเวลากลางคืนก็มีย่านที่ออกมาเดิน และกินอาหาร เลือกซื้อของกัน อารมณ์ประมาณถนนคนเดินกลางคืนในบ้านเรา

ไม่รู้ว่าความผ่อนคลายสบายใจในการออกจากบ้าน ออกไปท่องเที่ยว อย่างที่ประทับอยู่ในความทรงจำนี้ เราจะได้มันกลับคืนมาเมื่อไหร่ ก็ได้แต่เฝ้ารอกันต่อไป