เหตุผลที่ ‘เนื้อวัวออสเตรเลีย’ ถูกกล่าวขานไปทั่วโลก

 

ออสเตรเลีย ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่ออย่างมาก โดยเฉพาะผู้รักการรับประทานเนื้อวัว (มีตเลิฟเวอร์) เคยสงสัยหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดนักชิมชื่อดังต่างยกย่องว่าเนื้อวัวออสเตรเลียมีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุด แน่นอน ด้วยคุณสมบัติเนื้อที่มีไขมันต่ำ ความชุ่มฉ่ำที่ยากจะต้านทาน ไปจนถึงความนุ่มนวลของเนื้อสัมผัสและรสชาติเข้มข้นที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ คงเป็นคำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ความลับที่ทำให้เนื้อวัวออสเตรเลียรสเลิศได้เช่นนั้น เกิดจากการเลี้ยงดูวัวในสภาพแวดล้อมธรรมชาติซึ่งเปี่ยมด้วยอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ ผสานกับมรดกทางภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นในกระบวนการทำฟาร์มปศุสัตว์บนแนวคิดยั่งยืน โดยใช้ผ่านกระบวนการแปรรูปเนื้อวัวให้น้อยที่สุดและปราศจากการเติมสารปรุงแต่งใด ๆ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เนื้อวัวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและรสเข้มข้นตามธรรมชาติ และทำให้คอเนื้อทั่วโลกต่างเลือกคัดเนื้อวัวจากออสเตรเลียมาปรุงเป็นเมนูโปรดขึ้นโต๊ะอาหารเสมอมา

Meat & Livestock Australia (MLA) องค์กรซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มผู้ผลิตเนื้อวัว เนื้อแกะ และเนื้อแพะในประเทศ ในรูปแบบองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดย MLA ใช้ตราสินค้า True Aussie Beef and Lamb ระบุถึง 4 เหตุผลที่พิสูจน์ว่าทำไมคุณภาพของ “เนื้อวัวออสเตรเลีย” เป็นที่กล่าวขานในเรื่องของคุณภาพ

1.สุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ในฟาร์มคือสิ่งสำคัญสูงสุด

ปศุสัตว์ออสเตรเลียดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและเป็นธรรมชาติ ทั้งยังปลอดจากโรคในสัตว์หลายชนิดที่มีอยู่ในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก โดยอุตสาหกรรมเนื้อของออสเตรเลียทุ่มรักษาสุขอนามัยขั้นสูงของสัตว์ในฟาร์มผ่านการปฏิบัติงานเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เข้มงวด และยังกำหนดระบบต่าง ๆ ในการตรวจสอบข้อมูลแหล่งที่มาผลิตภัณฑ์ได้ทุกขั้นตอน

2.ผลิตภัณฑ์เนื้อวัวที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

อุตสาหกรรมเนื้อวัวออสเตรเลียมีชื่อเสียงในการผลิตเนื้อคุณภาพสูง ทั้งวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า วัวที่เลี้ยงด้วยธัญพืช เนื้อวัวออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์เนื้อวัวพันธุ์พิเศษ เช่น เนื้อวากิวและเนื้อแองกัส โดยเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นส่วนประกอบสำคัญตามหลักโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งการเลี้ยงดูวัวในทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้วัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าของออสเตรเลียมีสัดส่วนไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำโดยธรรมชาติ

3.ความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม

ผู้ผลิตในออสเตรเลียเข้าใจดีว่าการปกป้องและปรับปรุงสภาพแวดล้อมธรรมชาติมีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านความยั่งยืน ทั้งต่อการดำเนินธุรกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อุตสาหกรรมปศุสัตว์ของออสเตรเลียยังตั้งเป้าหมายสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 พร้อมกรอบการทำงาน beef sustainability framework เพื่อรับรองการดำเนินงานที่ตรวจสอบความก้าวหน้าได้ตลอดเวลา ทำให้ออสเตรเลียมีสถานะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเนื้อที่ยั่งยืนที่สุดของโลก

4.การทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในการวิจัยเพื่อปกป้องสมบัติอันเปี่ยมคุณค่าของออสเตรเลีย

การดำเนินงานของ Meat & Livestock Australia และการร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย ทำให้อุตสาหกรรมเนื้อแดงของประเทศมีการลงทุนมากกว่า 170 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในการวิจัยและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมนับตั้งแต่ขั้นตอนการปศุสัตว์และการปรับปรุงพันธุกรรม ไปจนถึงมาตรฐานคุณภาพเนื้อ การสืบค้นข้อมูลแหล่งผลิต และการคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เนื้อออสเตรเลียยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในตลาด

เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ True Aussie Beef ประจำประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า ในฐานะที่ทำร้านอาหารโดยใช้เนื้อวัวมาโดยตลอด ได้คัดเลือกเนื้อจากหลายชนิดและสายพันธุ์และหลายประเทศ จนมาสรุปที่เนื้อวัวออสเตรเลีย และได้ก้าวเข้ามาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ในที่สุด ซึ่งเนื้อออสเตรเลีย มีคุณสมบัติเด่นด้านรสชาติและมีส่วนต่าง ๆ ให้เลือกสำหรับการปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเมนูรูปแบบใดก็ตาม ตั้งแต่อาหารไทยต้นตำรับไปจนถึงเมนูสเต๊กแบบตะวันตกที่ปรุงอย่างเรียบง่าย ในฐานะลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย จึงรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ True Aussie Beef

รู้จักความหมายของคำเรียกค่า marbling score ซึ่งทุกคนอาจจะสงสัยว่าค่า marbling score (MB) คืออะไร ?

ค่า MB คือระดับชั้นไขมันลายหินอ่อนที่แทรกในชั้นกล้ามเนื้อของวัวตามธรรมชาติ ซึ่งชั้นไขมันลายหินอ่อนจะช่วยเพิ่มความชื้นและรสชาติให้กับเนื้อวัว เมื่อปรุงแล้วจะช่วยให้เนื้อมีความชุ่มฉ่ำมากยิ่งขึ้น ยิ่งเนื้อวัวเกรดสูงจะยิ่งมีชั้นไขมันลายหินอ่อนแทรกตัวอยู่หนาแน่นมาก เนื้อจากออสเตรเลียจะถูกแบ่งเกรดจากระบบการประเมินชั้นไขมันลายหินอ่อนโดย AUS-MEAT ตั้งแต่ระดับ 0 (ปราศจากชั้นไขมันลายหินอ่อนที่มองเห็นได้) ไปจนถึงระดับ 9 (ปรากฏชั้นไขมันลายหินอ่อนหนาแน่น) หากเราใช้เนื้อที่มีชั้นไขมันลายหินอ่อนมาปรุงอาหาร ก็จะได้เมนูเนื้อที่มีรสชาติที่เข้มข้นขึ้นด้วย