หลุยส์ เตชะอุบล นักธุรกิจหญิงตระกูลดัง เก่ง สวย และรวยมาก

รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง

นามสกุล “เตชะอุบล” เจ้าของอาณาจักร “คันทรี่ กรุ๊ป” ปรากฏในข่าวเศรษฐกิจอยู่บ่อย ๆ ในฐานะหนึ่งในตระกูลนักลงทุนชื่อดังในตลาดหุ้นไทย

นอกจาก สดาวุธ เตชะอุบล ผู้พ่อ ก็มี บี, เบน และ ทอมมี่ ลูกชาย 3 คนที่ปรากฏในข่าวอยู่เรื่อย ๆ แต่นอกจากนั้น ในตระกูลเตชะอุบลยังมีลูกไม้อีกลูกที่หล่นลงใต้ต้นเช่นกัน ก็คือ หลุยส์ เตชะอุบล ลูกคนที่ 3 ในบรรดาทายาททั้ง 4 คนของสดาวุธ และ อรวรรณ เตชะอุบล

หลุยส์ เตชะอุบล เป็นลูกผู้หญิงคนเดียว แต่สายเลือดนักธุรกิจ-นักลงทุน ก็ถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอมาถึงเธอไม่น้อยกว่าพี่ชายและน้องชาย

ปัจจุบัน “มาดามหลุยส์” ไม่ได้ทำงานในคันทรี่กรุ๊ป แต่แยกตัวออกมาลงทุนและบริหาร บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร หลังจากเข้ามาบริหารได้ปีเดียวเธอก็พาให้ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้น ๆ นับว่าเป็นนักธุรกิจตระกูลดังที่ทั้งสวยและเก่งน่าจับตามอง

นักธุรกิจสาววัย 35 ที่หน้าตาสวยใสอ่อนเยาว์ประหนึ่งนางเอกซีรีส์เกาหลีวัย 20 กว่าคนนี้ เธอทำงานในธุรกิจการลงทุนมาแล้ว 10 กว่าปี ผ่านการทำงานอย่างเข้มข้น ประสบการณ์ไม่ได้อ่อนเหมือนหน้าตา

หลุยส์เกิดที่เมืองไทยแต่ย้ายไปอยู่กับแม่ซึ่งทำธุรกิจที่ออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เธอใช้ชีวิตที่โน่นจนเรียนจบปริญญาตรีด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวล (UNSW Australia) แล้วกลับมาเมืองไทย เรียนโทบริหารธุรกิจที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แหล่งสร้างคอนเน็กชั่นทางธุรกิจชั้นดี

หลังจากเรียนจบเธอเริ่มทำงานเป็นโบรกเกอร์ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มพูนความสามารถและเลื่อนขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น แล้วหอบเอาความรู้และประสบการณ์ไปช่วยธุรกิจครอบครัวที่บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซันฯ (คันทรี่ กรุ๊ป ในปัจจุบัน) ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน (CIO) ทำอยู่ 4-5 ปี จึงออกจากอาณาจักรของพ่อแล้วลงทุนส่วนตัว เธอเห็นว่าไทรทันเป็นบริษัทที่มีอนาคตจึงซื้อหุ้นและเข้าไปบริหารเมื่อปลายปีที่แล้ว

นักธุรกิจหญิงที่มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นไอดอลบอกว่า เรื่องสำคัญในการบริหารคือการวางคนให้ถูกต้องเหมาะสม หลังจากที่เข้ามาบริหารบริษัทไทรทัน เธอจึงเสาะหาคนเก่งในแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามาในบริษัทลูกที่ไทรทันลงทุน แล้วเรียนรู้จากคนเก่งเหล่านั้น

“จุดแข็งของหลุยส์คือเรื่องการลงทุน การดูตัวเลข หลุยส์ไม่ได้มีจุดแข็งเยอะมาก แต่เอาคนอื่นที่มีจุดแข็งเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ แล้วเรียนรู้จากเขา หลุยส์เป็นคนอยากรู้แล้วถามเลย เอาตัวเลขมาดู หลุยส์ชอบตัวเลข”

แล้วเธอยังเปิดเผยสไตล์การทำงานให้ฟังด้วยว่า “หลุยส์เป็นคนคิดเยอะมาก ทำเร็วมั้ย ไม่รู้ แต่คิดเยอะ คิดกับตัวเองเยอะสุด ได้หนทางค่อยไปปรึกษาว่าวิธีนี้มั้ย วิธีนั้นมั้ย แต่ไม่ใช่แนวไปปรึกษาคนอื่นโดยที่ตัวเองยังไม่มีแนวทาง”

เธอแชร์มุมมองว่าสิ่งสำคัญของการลงทุนและการทำธุรกิจคือ ธุรกิจนั้นต้องอยู่ในอินดัสทรีที่มีอนาคต

“ถ้าเราไปมุ่งบนอินดัสทรีที่ไม่มีอนาคต คนเก่งขนาดไหนก็คงไม่ใช่ อย่างน้อยเราก็ต้องหันเรือไปให้ถูกทาง หลังจากนั้นคนค่อยช่วยกันพาย”

ตั้งแต่เปลี่ยนจากการเป็นนักลงทุนมาเป็นผู้บริหารบริษัท มาดามหลุยส์บอกว่าทำงานหนักขึ้น คิดเยอะขึ้น และเหนื่อยกว่าเดิมมาก

“ตอนเป็นนักลงทุนเราเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง เราจะซื้อ จะขาย ลงทุนอะไร มันอยู่ในคอนโทรลของเรา แต่ทำธุรกิจมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่อยู่ในคอนโทรลของเรา มันท้าทายขึ้น เหนื่อยขึ้น ตอนเป็นนักลงทุน เราทำเงินแล้วเราก็แฮปปี้ ไปนอนแล้ว แต่อันนี้มันคิดต่อเนื่อง มันซับซ้อนกว่า หยุดคิดไม่ได้”

สิ่งที่เรียนรู้จากการเป็นนักลงทุน แล้วเอามาใช้ในการบริหารคือ รู้ว่าจะต้องโฟกัสจุดไหน ปิดจุดอ่อนอย่างไร

“เรามองบริษัทคนอื่นยังไง เราก็มองบริษัทตัวเองอย่างนั้น (หัวเราะ) เรารู้ว่าเราต้องจับจุดไหน เพราะเรารู้ว่านักลงทุนมองจุดไหน”

เส้นทางนักบริหารของเธอที่เดินมาได้อย่างสวยงาม หลุยส์ยกเครดิตให้ครอบครัวที่เลือกทุกอย่างในชีวิตให้

“คุณพ่อผลักดันให้มาทางนี้ คุณพ่อคุณแม่เลือกมาให้ทุกอย่าง ตอนเด็ก ๆ เราก็รู้สึกขัดแย้ง ทำไมอย่างนั้นไม่ได้ ทำไมอย่างนี้ไม่ได้ แต่โตขึ้นมาถึงเข้าใจว่าเขาเลือกถูก และโชคดีที่เราตาม” เธอเล่าและหัวเราะ

“ตอนเด็ก ๆ แม่ปลูกฝังว่าต้องอดทน ต้องเรียนเก่ง ทุกอย่างต้องได้ท็อป ส่วนพ่อสอนด้านธุรกิจ มองคนยังไง มองธุรกิจยังไง ตอนหลุยส์โตมามีคนถามแม่ว่าทำไมลูกแม่เรียนท็อปหมดทุกคน แม่บอกว่าแม่ก็กดดันเขา เห็นเขาทำได้ก็กดดันต่อไป แต่ถ้าเขาทำไม่ได้แม่ก็จะเลิกกดดัน แต่เราไม่รู้ ตอนเราเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ตายแล้ว… ต้องทำให้ได้ แต่พอโตขึ้นมา เราก็… แหม น่าจะรู้นานแล้ว” เธอเล่าอย่างเสียงดังสนุกสนาน

ด้านชีวิตส่วนตัว หลุยส์เคยแต่งงานและหย่าร้าง มีลูก 3 คน อายุ 8, 6 และ 4 ขวบ เธอเป็นคุณแม่ลูกสามที่ทำงานหนักและพยายามใช้เวลาวันหยุดเกือบทั้งหมดกับลูก พาลูกเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอม ประเทศที่ไปบ่อยที่สุดก็คือพาไปหาคุณยายที่ออสเตรเลีย รองลงมาคือ อังกฤษและญี่ปุ่น

ด้วยความที่ชอบทำงาน จึงไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ เธอบอกว่าการได้ออกไปกินข้าว ไปแฮงเอาต์กับเพื่อนก็ถือว่าเป็นการเที่ยวแล้ว

วันนั้น มาดามหลุยส์มาให้สัมภาษณ์ด้วยผิวใสไร้เมกอัพ

ด้วยความที่ไม่เคยเจอใครมาให้สัมภาษณ์-ถ่ายภาพด้วยใบหน้าเปลือยเปล่าขนาดนี้ เราจึงถามเธอว่า “ไม่ชอบแต่งหน้าเหรอ”

แล้วได้คำตอบว่า “ไม่ใช่ไม่ชอบแต่ง แต่ขี้เกียจ รีบออกจากบ้าน ก็ออกมา ไม่ได้แต่งอะไรมาก แต่ถ้าไปออกงานจะแต่งนะ” ซึ่งเธอก็บอกอีกว่าไม่ค่อยมีเวลาไปออกงานสังคม

ส่วนเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่คู่กับผู้หญิง มาดามหลุยส์บอกเล่ารสนิยมให้ฟังว่า

“หลุยส์ชอบเดิม ๆ ชอบแบรนด์เดิม เรียบ ๆ หลุยส์ไม่ใช่คนบุกเบิกแฟชั่นอะไรมากมาย กระเป๋าก็ยี่ห้อเดียวกันทุกสี เราชอบแล้ว เราก็จะอยู่กับสิ่ง ๆ นั้น นอกจากว่าแบรนด์นั้นเปลี่ยนดีไซเนอร์แล้วมันเปลี่ยนเลย ทำให้เราไม่ชอบแล้ว ก็อาจจะเปลี่ยนแบรนด์ เมื่อก่อนชอบ Valentino แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ก็เปลี่ยนมา Dior กับ Channel ก็เปลี่ยนซีซั่นไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อินมากกับเรื่องนั้น ๆ”

ถามว่าตอนนี้พอใจกับชีวิตแล้วหรือยังมีเป้าหมายอะไรอีกไหม ?

“ไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่เคยคิด” นักธุรกิจหญิงจากตระกูลเตชะอุบลตอบ

สุดท้ายเธอแชร์แนวคิดส่วนตัวที่ใช้มาตลอดว่า “ทุกอย่างจะมองว่าง่ายก็ง่าย จะมองยากก็ยาก อยู่ที่เรามองยังไง ถ้าเรามองให้มันยากตั้งแต่ต้นเราก็ท้อ ฉะนั้นเรามองให้มันง่ายก่อน แล้วเราก็ค่อย ๆ เดิน เพราะยังไงเราก็ต้องค่อย ๆ เดินอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวได้ มองเป็นความท้าทาย แต่อย่าไปคิดว่ามันยาก”