พลพัต สาเลยกานนท์ : เรื่อง
“ผมเชื่อว่า เราต้องทำในสิ่งที่เรารัก ไม่งั้นเราก็จะทำมันออกมาได้ไม่ดี โชคดีที่ผมมีแพสชั่นอยู่ 3 อย่าง คือ 1.บัตรเครดิต 2.ดูภาพยนตร์ 3.สะสมของเล่น ซึ่งหายใจเข้าหรือหายใจออกก็เป็นบัตรเครดิต บางครั้งเป็นหนักแม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำยังคิดเลยว่า ทำไมเราไม่ทำแคมเปญแบบนั้นแบบนี้นะ”
“อธิศ รุจิรวัฒน์” หรือ “อาท” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย เล่าให้ “ดีไลฟ์ ประชาชาติธุรกิจ” ฟังว่า ตนเติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- พบรอยร้าวบ่อฝังกลบกากแคดเมียมของ เบาด์ แอนด์ บียอนด์
- เปิดไทม์ไลน์ลูกค้าซิตี้แบงก์ต้องรู้! ก่อนโอนย้ายบัญชีมาเป็น “ยูโอบี” 21 เม.ย.นี้
ตั้งแต่สมัยคุณตา คุณพ่อ เหมือนครอบครัววางเส้นทางไว้ให้อยู่แล้ว ซึ่งตอนมัธยมศึกษาตอนต้น ต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ตัวผมเองก็เรียนสายวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยและสำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์กระทั่งไปเรียนต่อด้านการตลาด
ในวันนั้นพอได้เรียนด้านการตลาดแล้วรู้ถึงความชอบก็เลยอยากเป็นนักการตลาดโดยที่ยังไม่รู้ว่านักการตลาดคืออะไร พอสำเร็จการศึกษา ก็ไปเริ่มทำการตลาดที่ธนาคาร
ซึ่งในเวลานั้นฝันที่คิดไว้คือการทำงานธนาคารเป็นแต่ทางผ่านเพื่อที่จะรอเวลาไปทำการตลาดให้พวกบริษัทภาพยนตร์ แต่ตั้งแต่วันนั้นที่เดินเข้าสู่เส้นทางธนาคารจนถึงวันนี้ก็ 20 กว่าปีแล้ว
“นั่นเป็นสิ่งแรกเลยที่ตอบได้ถึงการทำในสิ่งที่รัก เพราะผมจบด้านวิทยาศาสตร์มา แต่ผมก็ไม่ได้ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ ผมทำด้านการตลาดและการเงิน เพราะผมไม่ได้อยากทำแล็บ ผมไม่ชอบทำงานคนเดียว ผมเลยเลือกที่จะเดินทางสายนี้”
ส่วนตัวผมเชื่อว่าผมเองเป็นคนที่เข้าใจวิธีคิดของคน เวลามองว่าถ้าเราเป็นผู้บริโภคเราจะคิดอย่างไร เราจะถือบัตรเครดิตใบนั้นหรือไม่ โปรโมชั่นอะไรที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ ซึ่งบัตรเครดิตในมุมมองผมไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนมากกว่า เช่นเดียวกับสิ่งที่หลายคนมองว่าบัตรเครดิตคือไลฟ์สไตล์ของคน แต่มุมมองผมบัตรเครดิตคือ วิธีการชำระเงินที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์
อย่างไรก็ตาม บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่ผมใส่ความคิดสร้างสรรค์และใส่ความเป็นตัวเราเองได้มากที่สุด ซึ่งผมเคยบอกผู้บริหารระดับสูงไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งจะย้ายผมไปทำงานส่วนอื่นที่ไม่ใช่บัตรเครดิต ผมคงไม่ทำ เพราะผมรู้สึกรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ และผมรู้สึกดีที่ได้ทำมัน
จุดเริ่มต้นของการเป็นนักสะสมสำหรับผมเริ่มขึ้นจากความชอบดูภาพยนตร์ และจากนั้นเลยผสมโรงสู่การสะสมของเล่นมาด้วยเลย เริ่มสะสม STAR WARS ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ซึ่งก็สะสมแบบเด็ก ๆ แต่ถ้าเข้าสู่วงการสะสมจริงจังก็ตอนปี 1997 จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นกิจกรรมนอกเหนือจากเวลาทำงานก็จะแบ่งเวลาให้กับครอบครัวก่อน หลังจากนั้นก็เข้าเพจของสะสมทั้งหลาย โดยถึงวันนี้ก็มีของสะสมหลักหมื่น ๆ ชิ้นที่บ้านแล้ว
หากกล่าวถึงบัตรที่ส่วนตัวพกติดตัวในกระเป๋าเป็นประจำ ส่วนตัวผมจะพกบัตรทุกบัตรที่เราทำงานและที่เราเคยทำงานมา เพราะฉะนั้น ตอนนี้หลัก ๆ ผมจะพกบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และใช้จ่ายเป็นบัตรหลัก และนอกจากนั้นก็บัตรในเครือกรุงศรี เพราะผมก็เคยทำงานที่กรุงศรีฯ เช่นเดียวกับบัตรยูโอบี
นอกเหนือจากนั้น หมวกอีกใบที่ผมสวมอยู่คือ ประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ซึ่งกระแสปัญหาการโจรกรรมบัตรในช่วงที่ผ่านมา ผมมีส่วนร่วมในการเข้าไปดูแลปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มตัว ซึ่งสิ่งที่ผมบอกกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่เสมอว่า
ตราบใดที่เป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็ย่อมมีมิจฉาชีพหรือโจรที่คอยจ้องอยู่เสมอ แต่อัตราการโจรกรรมหรือการเกิดการทุจริตของผลิตภัณฑ์ทางการเงินอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก ๆ
ส่วนหนึ่งที่เป็นความกังวลของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ ปัญหาการโจรกรรมและทุจริตดังกล่าวเปลี่ยนจากบัตรเครดิตไปสู่บัตรเดบิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับบัญชีออมทรัพย์ของผู้บริโภค ประกอบกับเป็นกระแสที่สื่อให้ความสนใจและเกิดความตระหนกตกใจในวงกว้าง
“ลักษณะของการเกิดการโจรกรรมและการทุจริตที่เป็นกระแสให้เห็นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่สิ่งที่เห็นคือระบบการตรวจสอบและการป้องกันของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน ดังนั้นเชื่อว่าแต่ละสถาบันการเงินในเวลานี้ให้ความสนใจกับการป้องกันการโจรกรรมและทุจริตมากขึ้นในแง่ของการลงทุนและความปลอดภัย”
ขณะเดียวกัน ในแง่ของผู้บริโภค ต้องป้องกันและรักษารหัสหน้าบัตรและรหัสความปลอดภัยหลังบัตร รวมถึงวันหมดอายุ ซึ่งหมายความว่า ผู้บริโภคควรใส่ใจเสมอเวลาใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ว่าสถานที่ที่เรานำไปใช้นั้นปลอดภัยหรือไม่ น่าเชื่อถือหรือไม่ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
หรือการหมั่นตรวจสอบ SMS หรือแอปพลิเคชั่นของธนาคาร ตรวจสอบการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของบัญชี นั่นคือการป้องกันตัวเราเองและข้อมูลของเราเองเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้วกระบวนการวิธีการของโจรอย่างไรก็คือโจร แต่เราสามารถป้องกันตัวเองได้ในลำดับแรก
สำหรับส่วนตัวผมเองบอกกับครอบครัวและคนใกล้ตัวเสมอว่า บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต “ไม่ใช่บัตรพลาสติกธรรมดา” แต่บัตรเหล่านั้นคือกระเป๋าสตางค์หรือเงินสด เพราะถ้าเราคิดแบบนั้น เราจะระวังมากยิ่งขึ้น สมมุติว่าวงเงินในบัตรนั้นคือ 1 แสนบาท เท่ากับว่าบัตรพลาสติกใบนั้นมีมูลค่า 1 แสนบาท ถ้าไม่ระมัดระวัง เราก็อาจจะทำเงินหายไป
อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินมักตกเป็นจำเลยสังคมในเรื่องลักษณะนี้อยู่เสมอ ความเป็นจริงแล้วผู้ใช้บัตรทั้งหลายไม่ต้องกังวลเลย ถ้าถูกโจรกรรมจริง ย้ำว่า …ถ้าถูกโจรกรรมจริง อย่างไรสถาบันการเงินต้องเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว และสถาบันการเงินรวมถึงผู้รับผิดชอบไม่เคยนิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าวเลย ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถตวจสอบได้อยู่แล้ว
เราจะสังเกตได้ในหลายครั้งสำหรับบางรายที่จะมีธนาคาร โทร.ไปหาเพื่อแจ้งว่าบัตรมีความเสี่ยงอาจจะต้องออกบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนเลขบัตรอะไรก็ตาม นั่นหมายความว่าการปฏิบัติงาน และเครื่องมือ รวมถึงทีมงานมีความแม่นยำสูง แน่นอนว่าผู้ใช้บัตรจะไม่ตกอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีก็ไม่ต่างจากเงินสด หากเราไม่มีวินัยทางการเงิน ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ว่าจะใช้เงินสดหรือบัตร สุดท้ายก็อาจมีปัญหาหนี้สินได้ การใช้บัตรเครดิตจึงควรคิดก่อนใช้ ใช้เมื่อจำเป็น และใช้ให้เหมาะสมกับรายได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าใช้เงินในอนาคต
การใช้บัตรเครดิตที่ถูกวิธี ควรใช้บัตรแบบคนที่มีวินัยทางการเงิน วางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสม เช่น วางแผนว่ารายได้ต่อเดือนของเรามีเท่าไร มีรายจ่ายประจำเท่าไร สามารถใช้จ่ายส่วนตัวได้อีกเท่าไร และตั้งงบประมาณต่อเดือนที่จะใช้บัตรเครดิตได้เอาไว้ และใช้ตามงบฯที่ตั้งไว้ เช่น ไม่เกิน 20% ของรายได้ เป็นต้น
อีกคำถามยอดฮิตคือ ควรจ่ายเต็มจำนวนหรือจ่ายขั้นต่ำ บัตรเครดิตจะมีวันที่ที่สำคัญอยู่ 2 วัน คือ วันสรุปยอดบัญชี คือวันที่จะสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราใช้ไปในแต่ละเดือน กับวันครบกำหนดชำระเงิน คือ วันที่เราต้องจ่ายเงิน
หากอยากได้รับความสะดวกจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ย ก็ควรวางแผนทางการเงินให้ดี เมื่อถึงวันครบกำหนดชำระ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจ่ายค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวนเพื่อจะได้ไม่ต้องแบกภาระเรื่องดอกเบี้ย
แต่กรณีที่ไม่สามารถจ่ายเต็มจำนวนได้ก็ควรจ่ายให้มากสุด เพื่อให้มีดอกเบี้ยน้อยที่สุด ไม่ว่าจะจ่ายเต็มจำนวนหรือไม่ ที่สำคัญสุดคือ ควรจ่ายตรงเวลาทุกครั้ง เพื่อคงไว้ซึ่งประวัติการชำระเงินที่ดี