บ้านปู โกยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 165% ทะลุ 5.2 หมื่นล้าน เหตุถ่านหิน-ก๊าซแพง

“บ้านปู” โกย EBITDA ครึ่งปีแรก ’65 พุ่ง 165% ทะลุ 5.2 หมื่นล้านบาท เหตุถ่านหิน-ก๊าซแพง มองครึ่งปีหลัง เติบโตต่อเนื่อง รับกำลังการผลิตถ่านหิน ก๊าซ เพิ่ม ชี้ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดี รักษาต้นทุนรับมือได้ทุกวิกฤต พร้อมจับตาตลาดซื้อขายไฟเสรีคึกคัก ลุ้นดีล M&A ในสหรัฐ-เวียดนามเพิ่ม อัด 150 ล้านเหรียญ ลงทุนนอกธุรกิจพลังงานในกองทุนเฮลท์แคร์สหรัฐ ย้ำกลยุทธ์ Greener & Smarter ดันสัดส่วน EBITDA แตะ 50% ในปี 2568

วันที่ 17 สิงหาคม 2565 นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานบ้านปู ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังมีทิศทางที่ดีขึ้นจากครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ด้านพลังงานที่ยังดี โดยธุรกิจถ่านหิน แม้ไตรมาส 4 อาจมีฝนเพิ่ม คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่ราคาถ่านหินมองว่าน่าจะยังส่งผลบวก

ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติ และครอบคลุมถึงธุรกิจกลางน้ำบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตรวมของธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปู เพิ่มเป็น 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน ซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มที่ในไตรมาส 3 โดยราคาก๊าซยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าต้นทุนจะปรับเพิ่มขึ้น แต่เป็นส่วนที่ถือว่าไม่มีผลมากนัก

ส่วนธุรกิจไฟฟ้า จากที่เริ่มทำธุรกิจที่ทำตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี อยากให้จับตาครึ่งปีหลัง แม้ตลาดสัญญาซื้อขายระยะยาว (PPA) ยังมีรายได้ที่แน่นอน แต่ตลาดเสรีหากดูย้อนไป 7-8 เดือนที่ผ่านมามีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสและจังหวะที่ดี ที่คาดว่าจะสามารถควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ในสหรัฐประมาณ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษา

และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม ที่เป็นโครงการโซลาร์ฟาร์ม ปริมาณ 65 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะปิดดีลในไตรมาส 3 นอกจากนี้ ยังมีที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีก 2-3 โครงการ ที่ยังมีลุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีอีกด้วย

สำหรับงบลงทุนช่วง 5 ปี ตั้งงบลงทุน 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการเติบโตตามแผนที่จะมุ่งเน้นภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter เป็นหลัก ส่วนธุรกิจดังเดิม เช่น ถ่านหิน ก็ยังเติบโตต่อไปได้ด้วยทรัพย์สินที่มีอยู่ ทั้งโครงการในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่จะไม่ใช่ลักษณะของการซื้อกิจการใหม่

ซึ่งยังคงเป็นไปตามกลยุทธ์ Greener & Smarter จะช่วยเพิ่มสัดส่วน กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) เป็น 50% ภายในปี 2568 ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมจะมีสัดส่วนลดลงน้อยกว่า 50%

ทั้งนี้ ผลดำเนินธุรกิจครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงสร้างกระแสเงินสดและผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากการขายรวม 3,029 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 102,496 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 97 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 1,543 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 52,284 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 165 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 682 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,053 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 634 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากความต้องการใช้พลังงานที่ต่อเนื่องและอุปทานที่มีจำกัด

การเติบโตดังกล่าวมาจากปัจจัยราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น แล้วยังเป็นผลจากการเร่งขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้น และเทคโนโลยีพลังงานแบบก้าวกระโดดตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ทั้งยังได้ลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Sequestration : CCS) ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ในรัฐเท็กซัส ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การยกระดับความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ภายใต้หลัก ESG ที่เรายึดถือมาโดยตลอด

รวมทั้งยังมีการลงทุนในธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้พอร์ตฟอลิโอทางธุรกิจ และสร้าง New S-Curve โดยเริ่มจากการลงทุนในกองทุนด้านเฮลท์แคร์ ในสหรัฐเฟสเเรก ลงทุนกองทุน 150 ล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็นการเปิดมิติใหม่สู่ธุรกิจที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ผู้คน (Life-Betterment) เป็นรองรับเทรนด์สุขภาพและการลงทุนนอกเหนือจากธุรกิจพลังงานที่มีความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ วิกฤตการเมือง ความขัดเเย้งของประเทศมหาอำนาจ และคาดว่าจะเติบโตดีในอนาคต

ส่วนกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน มองว่า (Energy Resources) ธุรกิจเหมือง มีผลประกอบการแข็งแกร่ง จากราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เป็นผลจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่อุปทานตึงตัว นอกจากนี้ การเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติ และครอบคลุมถึงธุรกิจกลางน้ำบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตรวมของธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูเพิ่มเป็น 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน

ด้านกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทั่วไป สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีการลงทุนขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชูง็อก (Chu Ngoc) กำลังผลิต 15 เมกะวัตต์ และน็อนไห่ (Nhon Hai) กำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) อยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมการเดินเครื่อง (Pre-commissioning) เพื่อให้สามารถจำหน่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้เมื่อมีการเรียกกระแสไฟฟ้าจากผู้รับซื้อไฟ (EVN)

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) เร่งเดินหน้าสร้างความเติบโต โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณท์และบริการ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู (Banpu Ecosystem) ให้แข็งแกร่ง โครงการที่สำคัญในครึ่งปีแรก ได้แก่ การร่วมเป็นพันธมิตรกับดูราเพาเวอร์ ผู้นำด้านระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบลิเธียมไอออนระดับโลก และเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ ผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย สร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับ e-Bus

ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2569 พร้อมบุกตลาดรถอีวีในเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งมีการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ไปยังประเทศอินโดนีเซีย ผ่านบริษัทย่อยของบ้านปู ในการก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากหลังคาโซลาร์ รวม 7.27 เมกะวัตต์

บ้านปูยังคงเดินหน้าเสริมสร้างระบบนิเวศด้านพลังงานอย่างครบวงจรจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความแข็งแกร่งในระยะยาว สามารถสร้างสมดุลของผลการดำเนินงาน และลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทั้งสภาวะตลาด เศรษฐกิจโลก และความตึงเครียดของสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ

ท่ามกลางการหดตัวภาคธุรกิจ Recession อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากอเมริกาปรับขึ้นอย่างมาก แต่ยังถือว่าเริ่มผ่อนคลายขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ สำหรับบ้านปูเตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดี ปรับตัวได้รวดเร็ว จึงไม่น่าห่วงมากสำหรับการดำเนินงานบ้านปู สามารถเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป นางสมฤดีกล่าว