“เอสโซ่”เผยโฉมปั๊มรูปแบบใหม่ ผนึก”เพียว-เบสท์” ดันยอดทะลุ 600 แห่ง

แท่นจ่ายน้ำมันใหม่ – บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) เตรียมปรับโฉมสถานีบริการน้ำมันใหม่ ด้วยการเพิ่มไฟส่องสว่าง ดีไซน์แท่นจ่ายน้ำมันรูปแบบใหม่พร้อมตัวเกาะข้างเสา นำร่อง 5 แห่งในถนนสายหลัก นับเป็นประเทศที่ 4 ในโลกที่เอสโซ่ทำการเปลี่ยนรูปโฉมปั๊ม

เอสโซ่ปรับโฉมสถานีบริการน้ำมันใหม่ หลังซุ่มวางแผนมา 2 ปี ถือเป็นประเทศที่ 4 ในโลก ตามนโยบาย synergy image ด้วยรูปโฉมแท่นจ่ายน้ำมันแบบใหม่ นำร่องในถนนสายหลัก ก่อนจะทยอยปรับเปลี่ยนทั้งประเทศภายใน 2 ปี ตั้งเป้าจำนวนปั๊มน้ำมันปีนี้ทะลุ 600 แห่ง พร้อมเปิดตัวปั๊ม flagship อีก 5-6 แห่ง เงินลงทุนแต่ละปั๊มมากกว่า 100 ล้านบาท ลุยตลาดน้ำมันพรีเมี่ยม ซูพรีมพลัส 95 ต่อ

นายยอดพงศ์ สุตธรรม ผู้จัดการตลาดขายปลีก การตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปีนี้จะเริ่มนำนโยบาย synergy image มาใช้กับสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ในไทยเป็นประเทศที่สี่ รองจากสิงคโปร์-ฮ่องกง-นิวซีแลนด์ โดยจะเริ่มโครงการนำร่องเป็น pilot project ในสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 5 แห่งที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เป็น key location บนถนนสายหลัก หรือในเมืองใหญ่ ถือเป็นการปรับโฉมสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก

ทั้งนี้รูปโฉมใหม่ยังอยู่บนโครงสร้างของสถานีบริการรูปสี่เหลี่ยม หลังคาและเสายังเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงบริเวณแท่นจ่ายน้ำมันในรูปโฉมใหม่ มีตัวเกาะโฆษณาเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มไฟ LED ส่องสว่าง โดยรวมมีความทันสมัยมากขึ้น แต่ละสถานีบริการจะใช้เงินลงทุนประมาณ1 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้ง 500 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี เป็นเงินลงทุนรวมมากกว่า 500 ล้านบาท

“โปรเจ็กต์นี้เราใช้เวลาทำแผนถึง 2 ปี ถือเป็น image ล่าสุดของเอสโซ่”นายยอดพงศ์กล่าว

สำหรับจำนวนสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 550 แห่ง แต่ยังไม่นับรวมสถานีบริการน้ำมันเพียวที่เข้าร่วมเป็น “พันธมิตร” ธุรกิจกับเอสโซ่อีกจำนวน 50 แห่ง นอกจากนี้เอสโซ่ยังร่วมกับบริษัทเบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ พลัส เจ้าของสถานีบริการก๊าซ LPG ภายใต้แบรนด์ “Best” เปิดสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ภายในสถานีบริการก๊าซ LPG Best ด้วย โดยขั้นต้นจะเริ่มประมาณ 10 แห่งก่อน จากที่เปิดให้บริการไปแล้ว 5 แห่ง

“ทั้งเพียวไทยและเบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ฯ ถือเป็นพันมิตรธุรกิจที่เราหามานาน จากเดิมที่เอสโซ่มีการลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมันปีละ 20 แห่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีปั๊มเอสโซ่ปิดตัวลงไป ทำให้เรามีสถานีบริการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันทำปั๊มน้ำมันจึงตอบโจทย์ในส่วนนี้ ถือเป็น business model ยกตัวอย่าง เพียวไทย เราคุยกับเขาประมาณ 4 เดือนในไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว เพียวก็ตัดสินใจเลือกเรา ส่งผลให้ปัจจุบันเพียวไทยกลายเป็นดีลเลอร์รายใหญ่ที่สุดของเอสโซ่ไปแล้ว” นายยอดพงศ์กล่าว

ส่วนการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่ทำร่วมกับเพียวไทยและเบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ฯนั้น ทางเพียวไทยมีแผนที่จะเปิดสถานีบริการน้ำมันร่วมกับเอสโซ่อีก 50 แห่งในอนาคต ขณะที่เบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ฯ ที่มีจำนวนสถานีบริการ LPG ทั้งหมด 30 แห่งก็กำลังดูพื้นที่ที่จะสามารถพัฒนาเป็นสถานีบริการน้ำมันร่วมกันอยู่ “การได้เพียวกับเบสท์เอ็นเนอร์ยี่ฯ เข้ามาเป็นพันธมิตรกับเรา จะส่งผลให้ในปี 2561 เอสโซ่จะมีสถานีบริการน้ำมันรวมกันมากกว่า 600 ปั๊มแน่นอน จริงอยู่ที่จำนวนสถานีบริการน้ำมันของเรายังเป็นรองคู่แข่ง แต่เราไม่ได้วัดกันที่จำนวนปั๊ม แต่ดูที่ยอดจำหน่ายน้ำมันมากกว่า” นายยอดพงศ์กล่าว

นอกจากนี้ในปี 2561 เอสโซ่จะเปิดสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ที่ใช้พื้นที่ 5-7 ไร่ขึ้นไป ซึ่งถือเป็น flagship อีก 5-6 แห่งบนถนนเส้นทางสายหลัก โดยแต่ละแห่งจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยให้ดีลเลอร์เป็นผู้ลงทุน แต่ก็พร้อมที่จะทำในลักษณะของการร่วมลงทุนด้วย โดยปั๊มที่เป็น flagship แต่ละแห่งจะต้องมียอดขายน้ำมันมากกว่า 800,000-1 ล้านลิตร/เดือนจึงจะคุ้มค่ากับการลงทุน พร้อมกันนี้ก็จะมีแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมในปีนี้ด้วย

“โมเดลในการหาพาร์ตเนอร์ที่เป็น nonoil ในปั๊มของเราก็จะคัดเลือกมาอย่างละ 3 แบรนด์ ยกตัวอย่าง กาแฟ เรามีแบรนด์ Rabika Coffee-Caffe D”Oro และ Coffee Boy ให้เลือก อาหารก็มี McDonald”s-KFC และ Burger King ส่วนเรื่องศูนย์บริการรถยนต์เราก็มี B-Quik กับ Bosch เราจะเลือกพาร์ตเนอร์ที่มีความชำนาญเข้ามาให้กับผู้บริโภค ถือเป็น strategy partner ของเรา

ด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันใสของเอสโซ่นั้น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 เอสโซ่มีการเปิดตัวน้ำมันสูตรพรีเมี่ยมใหม่ขึ้นมาอีก 1 สูตรคือ ซูพรีมพลัส แก๊สโซฮอล์ 95 หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับซูพรีมพลัส ดีเซลมาแล้ว โดยนายยอดพงศ์กล่าวถึงการเปิดตัวน้ำมันพรีเมี่ยมของเอสโซ่ได้คำนึงถึงเหตุผล 2 ประการคือ 1) brand image หรือความเป็นผู้นำทางด้านคุณภาพน้ำมันของเอสโซ่ที่มีเทคโนโลยีที่ไม่แพ้คู่แข่งที่เปิดตลาดน้ำมันพรีเมี่ยมเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย โดยน้ำมันสูตรพรีเมี่ยมจะช่วยดึง product อื่น ๆ ให้ขึ้นตามไปด้วย กับ 2) margin ยอมรับว่า น้ำมันสูตรพรีเมี่ยมมีส่วนต่างของผลกำไรสูงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มี cost ที่นอกเหนือไปจากสารเพิ่มคุณภาพสูงตามไปด้วยเช่นกัน

“เราจำหน่ายซูพรีมพลัส แก๊สโซฮอล์ 95 ในปั๊มเอสโซ่เพิ่มมากขึ้น โดยทำเป็นตัวเกาะที่เสาให้รู้ว่า หัวจ่ายนี้จ่ายน้ำมันซูพรีมพลัส แต่เรามีทางเลือกให้กับผู้บริโภค ไม่ใช่ว่าจะขายแต่น้ำมันพรีเมี่ยมอย่างเดียว ส่วนบัตรสะสมแต้ม หรือ Esso Smiles นั้น ในปีที่ผ่านมาเรามีสมาชิกทั้งหมด 1.2 ล้านราย ส่วนปี 2561 ตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 ล้านราย และยังเปิด Line App Esso ไว้เป็นช่องทางสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคด้วย ซึ่งตัวนี้จะถือเป็น big data ของ Esso ต่อไปในอนาคตในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้บริโภค” นายยอดพงศ์กล่าว