ซีพีออลล์ ผนึก ภาครัฐ หนุน SME ไทย เพิ่มช่องทางขาย-แนะกลยุทธ์ลุยตลาดออนไลน์

วันที่ 30 ม.ค. 2561 ซีพี ออลล์ ร่วมกับภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ จัดงาน “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืน 2560” ปีที่ 2 เพื่อขับเคลื่อน สนับสนุนเอสเอ็มอีไทยทุกด้าน มุ่งพัฒนา-ส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ประสบความสำเร็จ สามารถแจ้งเกิดได้ในยุคดิจิทัลด้วยการทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์ รวมถึงการเชื่อมโยงตลาดเพิ่มช่องทางการขาย ให้คำปรึกษาในการพัฒนา เอสเอ็มอี และมอบรางวัล 8 ประเภท เพื่อกระตุ้นเอสเอ็มอีไทยให้ยั่งยืนต่อไป

นายธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย กระตุ้นเอสเอ็มอีไทยให้มีความสามารถในธุรกิจขนาดย่อม ได้เติบโตจากการใช้จุดแข็งของ ซีพี ออลล์ จากการเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้า SME ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และให้คำปรึกษาการพัฒนาสินค้า การบริการ ด้านการตลาด ให้อยู่ยุคแข่งขันที่มีชื่อเสียงสามรถพัฒนาก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้

ทั้งนี้ เซเว่นฯ ยังมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพของผู้ประกอบการรายย่อยจำนวน 2,000 ราย ด้วยการเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า SME ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ทั้งสิ้นกว่า 22,000 รายการ อาทิ ผลไม้แปรรูป, เครื่องดื่ม, เบเกอรี่, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูปก็ได้รับความนิยมจากประชาชนจำนวนมาก โดยบริษัทให้ความสำคัญมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ราคา ความต่อเนื่องในการผลิต ความปลอดภัย  โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภันฑ์อย่างต่อเนื่องในปี 2561

ด้านนางสาววิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ในปี 2561 สสว. มีแนวทางในการส่งเสริม SME ใน 6 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ คือ 1. กลุ่มธุรกิจด้านดิจิตอล 2. ธุรกิจเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม 3. ธุรกิจบริการที่มีมูลค่าสูง 4. ธุรกิจด้านเครื่องจักรกล วิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์เชิงกล และหุ่นยนต์ 5. กลุ่มธุรกิจด้านอาหาร การเกษตร และอุตสาหกรรมชีวภาพ 6. กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและที่เกี่ยวเนื่องกับการแพทย์ โดยเน้นดำเนินงานใน 3 ด้าน คือ 1) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนงบประมาณปี 2561 2) การสร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริงด้วยความรวดเร็ว ภายใต้แนวคิด พลิก SME ไทยสู่อนาคต ภายใต้ 3 นโยบาย คือ Transformation เน้นการส่งเสริม SMEs ให้ปรับเปลี่ยนตนเองสู่ยุค 4.0 Internationalization โดยเพิ่มขีดความสามารถ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่ระดับสากล และการพัฒนาเครือข่ายกลุ่มใหม่ เน้นสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ เพื่อออกแบบองค์ความรู้ชุดใหม่ และถ่ายทอดสู่ SME และ 3) การเชื่อมโยงการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ สสว. ยังสนับสนุนการให้คำปรึกษา การเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ SME ไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ “SME ONE” เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ www.sme1.info ให้เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสาร กิจกรรมและโครงการที่เป็นประโยชน์ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ SME ได้เข้ามาสืบค้น ลงทะเบียนรับบริการ ซึ่งขณะนี้ ได้เปิดให้บริการทดลองใช้แล้ว

ADVERTISMENT

ขณะที่ นางยุพรัตน์ ศตวิริยะ ผู้อำนวยการกองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลัก ที่มุ่งพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ซึ่งกรมฯ มีเครื่องมือและกระบวนการตั้งแต่การให้คำปรึกษาแนะนำ การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกมิติ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและมาตรฐาน รวมถึงการเชื่อมโยงตลาดเพื่อให้มีช่องทางการขาย ทั้งยังมุ่งที่จะพัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneurs) และกลุ่มสตาร์ทอัพ (Startup) เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มมากขึ้น สำหรับในปี 2561 นี้ กสอ.มีนโยบายพัฒนาผู้ประกอบการมากกว่า 30 โครงการภายใต้งบประมาณกว่า 800 ล้านบาท พร้อมด้วยศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ITC) กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีในวงเงิน 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการพัฒนาร่วมกับพันธมิตรในอีกหลายๆด้าน ที่จะช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเอสเอ็มอี โดยมั่นใจว่าโครงการและกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าเชิงนวัตกรรม และมีช่องทางการจำหน่ายที่มากขึ้น

ADVERTISMENT

ต่อมา นายปฤน จำเริญพานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ได้เผยเทคนิคการทำธุรกิจบนตลาดออนไลน์ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้กลุ่ม SME ไทย ที่หลายๆ คนมองว่าเครื่องมือแฟลตฟอร์มออนไลน์เป็นสิ่งยาก พร้อมไอเดียที่น่าสนใจ เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตอนนี้อยู่ในอินเทอร์เน็ตมากขึ้นต่อวัน

ข้อแตกต่างของออนไลน์มาร์เก็ตติ้งกับสื่อสมัยเก่า คือ สมัยนี้คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดมาก ผมเป็นนักการตลาดสไนเปอร์ ทุกบาทที่จ่ายให้กับเฟสบุุ๊กต้องโดนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการและพร้อมที่จะจ่ายเงินให้เราเท่านั้น

การทำการตลาดออนไลน์ จะแบ่งเป็น 2 แบบง่ายๆ 1 คุณต้องให้ลูกค้าเห็นสินค้าคุณในโลกออนไลน์ให้ได้ 2 ต้องให้เขาตัดสินใจซื้อให้ได้

คุณต้องทำให้ลูกค้าเจอเราและอยากซื้อของจากเราบนโลกออนไลน์ให้ได้ ปัจจุบันคนไทยทั้งหมดมีจำนวน 70 ล้านคน แต่มีมือถือจำนวน 90 ล้านเครื่อง และโดยเฉลี่ยใน 1 วัน คนไทยหยิบมือถือเฉลี่ย 150 ครั้งต่อ 1 วัน ดังนั้นมือถือเปรียบเหมือน แบนด์เนอร์ 1 แบนด์เนอร์ที่คุณมีโอกาสอย่างน้อย 150 ครั้งต่อวันที่จะถูกเห็นสินค้าและบริการของเรา เราต้องเข้าใจว่าลูกค้าเราอยู่ที่ไหน ต้องให้เห็นสินค้าเราให้ได้

 

คำว่า Digital marketing ไม่ใช่เรื่องยาก โซเชียลต่างๆ เป็นแค่เครื่องมือ แต่ Marketing อะไรคือคุณค่าให้กับลูกค้า ลูกค้าอยู่ที่ไหนแล้วค่อยหาช่องทางสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพ ในมุมมองของผมของการตลาดมี 4 ขั้นตอน ง่ายๆ

1.ต้องเข้าใจก่อนว่าสินค้าที่คุณให้ลูกค้า คุณค่าที่แท้จริงคืออะไร

2.ต้องค้นหาว่าลูกค้าที่แท้จริงของคุณอยู่ที่ไหน

3.ต้องสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ

4.ดูลูกค้าของคุณว่าอยู่ช่องทางไหน

ต่อไปสำคัญมากในการสร้างแบรนด์ออนไลน์ เส้นทางการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคสมัยใหม่นี้มีเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ออนไลน์ คือ การบอกต่อ ยุคนี้เป็นยุคที่ลูกค้าเชื่อในสิ่งที่ลูกค้าบอกต่อ ต้องทำให้ลูกค้ามีความ love mark ประกอบด้วย see you ไม่ว่าสินค้าคุณจะดีแค่ไหนคงไม่พอต้องให้ลูกค้าเจอสินค้าเราด้วย remember you ต้องสร้างแบรนด์ ให้เห็นชัดเจนเห็นบ่อยจนจำได้ understand you ลูกค้าอยากรู้ว่าทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าจากคุณ และสุดท้าย want you เมื่อทำครบ 3 ข้อแล้วลูกค้าจะรักเราแล้วบอกต่อ ถ้าเกิดให้แนะนำเครื่องมือในประเทศไทยตอนนี้ที่มีการใช้เยอะมี เฟซบุุ๊ก ไลน์ google สิ่งสำคัญในตอนนี้คุณต้องมีเฟซบุ๊ก ให้เปรียบเหมือนประเทศหนึ่งที่มีคนทั่วโลกและต้องมีไลน์แอตเพื่อรักษาลูกค้าเก่า เพื่อจะขยายผู้บริโภคสินค้า

โดยภายในงาน “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืน 2560” ปีที่ 2 มีการมอบรางวัลส่งเสริมและยกย่องเชิดชู เอสเอ็มอี ที่จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น โดยมีรางวัลทั้งหมด 8 ประเภท และ 14 บริษัทที่ได้รับ ดังนี้

1.รางวัล SME ยั่งยืน ได้แก่ เครื่องดื่ม “พี เฟรช” จากบริษัท ซัมเมอร์สปริง จำกัด

2.รางวัล SME ดาวรุ่ง ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำเต้าหู้ “โทฟุซัง” จาก บริษัท โทฟุซัง จำกัด และ เครื่องสำอาง “นามิ เมคอัพ โปร บีบี เวท ทู พาวเดอร์” จาก บริษัท เค แอนด์ บี คอสเมติก จำกัด

3.รางวัล SME ผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้แก่ น้ำพริก “ป้าแว่น” จากห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรีรัตน์ และหมอนขิด จากนายกฤษณพงศ์ จันใด

4.รางวัล SME สินค้าเกษตร ได้แก่ ผลไม้แปรรูป “บ้านมะขาม” จากบริษัท สวนผึ้งหวาน จำกัด

5.รางวัล SME ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ขนมหวานพุดดิ้งช็อกโก้มอลต์ “เซเว่น เฟรช” จากบริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด และ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ “จุฬาเฮิร์บ มอรินก้า รีแพร์ เจล” จากบริษัท เจแอลซี กรุ๊ป จำกัด

6.รางวัล SME ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย “เขาค้อทะเลภู” บริษัท ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทะเลภู จำกัด และ ผลิตภัณฑ์ดอกเกลือทะเลธรรมชาติ “Sea & Sun” จากบริษัท คอสท์ เพอร์เฟค โปรเจคส์ จำกัด

7.รางวัล SME งานระบบ ได้แก่ งานระบบก่อสร้างร้าน จากห้างหุ้นส่วนจำกัด อาร์.ซี.ดีไซน์ แอนด์คอนสตรัคชั่น และ งานระบบไฟฟ้า จากบริษัท คอมเรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

8.รางวัล SME Retail Equipment ได้แก่ ชั้นวางสินค้า จากบริษัท รีเทล บิซิเนส โซลูชั่น จำกัด และเครื่องผลิตน้ำแข็ง จากบริษัท เจ.เอ.พี.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด