อดีต ผอ.สำนักนิติการ อคส. ร้องสื่อมวลชน ถูกตรวจสอบอย่างไม่เป็นธรรม

ว่าที่ร้อยตรีพีรศักดิ์ เตชพิพิธมงคล
ว่าที่ร้อยตรีพีรศักดิ์ เตชพิพิธมงคล

อดีตผู้อำนวยการสำนักนิติการ อคส. สุดทนออกมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน ถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงและวินัยร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมคัดค้านข้อร้องเรียนเต็มที่ ยืนยันทำงานโดยสุจริตมาโดยตลอด

วันที่ 26 ธันวาคม 2565 ว่าที่ร้อยตรีพีรศักดิ์ เตชพิพิธมงคล อดีตผู้อำนวยการสำนักนิติการองค์การคลังสินค้า หรือ อคส. เปิดเผยว่า การทำงานของตนเองในฐานะนักสืบสวนสอบสวน ตั้งแต่เป็นเพียงลูกจ้างและได้เข้ามาทำงานในองค์การคลังสินค้า (อคส.) ซึ่งได้มีการสืบสวนและตรวจสอบในหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับซื้อทุเรียน รับซื้อข้าวโพด และโครงจัดซื้อถุงมือยาง ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ล่าสุดตนได้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่สหภาพแรงงาน อคส. ไปร้องเรียนว่าตนถูกแจ้งความ ฐานความผิดฉ้อโกง ที่ สน.ทุ่งสองห้อง

โดยนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว มีการตรวจสอบพบว่าไม่ได้มีการฉ้อโกงแต่อย่างไร เป็นการทำงานโดยการว่าจ้าง ก่อนที่จะเข้ามาเป็นพนักงาน อคส. โดยส่งเอกสารให้กับเอกชน 2 รายจริง คณะกรรมการตรวจสอบจึงได้พิจารณาไปสู่การสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยใช้ฐานความผิดที่ไม่รักษาความลับทางราชการ มีการนำเอกสารลับไปเปิดให้กับเอกชน 2 รายที่เป็นคู่กรณีกับ อคส. จึงเห็นสมควรในการสอบสวนวินัยร้ายแรง

               

เบื้องต้นตนได้รับหนังสือ กรณีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงในเรื่องนี้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีเวลา 7 วันในการยื่นคัดค้านเรื่องนี้ และวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ตนได้ทำหนังสือคัดค้าน โดยค้านว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมิชอบ รวมไปถึงคัดค้านในอำนาจหน้าที่ของ ผอ.อคส. นั้นไม่มีอำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบด้วย รวมไปถึงเอกสารลับนั้นด้วย จากนี้จะมีการพิจารณาในกรอบ 30 วันเพื่อตอบกลับมา

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ตนได้ถูกสอบสวนตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่มีการร้องเรียนและถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว และผลสอบสวนข้อเท็จจริงออกแล้ว และนำไปสู่การสอบสวนทางวินัยร้ายแรง โดยเรื่องนี้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อตนเองอย่างมาก รวมไปถึงกระทบต่อประวัติการทำงานของตนในอนาคต ทำให้ตนต้องออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนให้เห็นว่า การทำงานของตนที่ผ่านมาสุจริต แต่ถูกขบวนการบีบบังคับเพื่อให้ตนเองพ้นออกจากตำแหน่งหน้าที่การทำงาน ต้องเข้าสู่กระบวนการสืบสวน ตรวจสอบ ขณะที่คดีสำคัญต่าง ๆ ที่ อคส.จะต้องเดินหน้าแก้ปัญหาก็ไม่ได้ทำต่อต้องหยุดลง

นอกจากนี้ ยังพบว่ายังได้สร้างประเด็นออกเป็นข่าวผ่านรายการในทีวี ก่อนวันประชุมบอร์ด อคส. เพื่อจะได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด อคส. เพื่อพิจารณาให้พักงาน เอาผิดทางวินัย ซึ่งหลายฝ่ายต่างให้ความสนใจในประเด็นของตนมากกว่าหลายคดีที่สำคัญ ทั้งรับซื้อถุงมือยาง จำนำข้าว ข้าวถุง เป็นต้น อย่างไรก็ดี สิ่งที่ตนออกมาครั้งนี้ต้องการให้เสียงเล็ก ๆ ของตนดังไปถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะติดตามคดีโครงการรับจำนำข้าว พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ให้มาเอกซเรย์ อคส. ไม่ต้องการให้ปล่อยผ่าน

“ผมจะถูกกระทำก็จะสู้ ถ้าสู้ไม่ไหวก็จะไปรับจ้างทำมาหากินเลี้ยงตัวเองต่อไป เพราะผมทำงานไม่มีการทุจริต ทำงานโดยสุจริตมาโดยตลอด และไม่มีผลกระโยชน์อยู่เบื้องหลัง และพร้อมจะสู้แม้จะสู้ไม่ไหว ก็จะสู้แบบมวยวัดสู้ และตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแน่นอน และหากสุดท้ายตัวเองต้องกลับมาทำงานให้ อคส. ก็ยังพร้อมที่จะทำหน้าที่ให้สมกับเป็นข้าของแผ่นดิน เพื่อตอบแทนแผ่นดินต่อไป”