ธุรกิจจัดตั้งใหม่ปี’65 มีจำนวน 76,488 ราย เพิ่มขึ้น 5% แรงหนุนนักท่องเที่ยวจีน

ก่อสร้าง
Photo : Pixabay

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่ปี 2565 มีจำนวน 76,488 ราย เพิ่มขึ้น 5% จากการท่องเที่ยวเติบโต การจับจ่ายมากขึ้น ส่วนคาดการณ์ปี 2566 ใกล้เคียงปี 2565 ที่ 77,000 ราย ผลบวกจากการท่องเที่ยวส่งผลความเชื่อมั่นการลงทุนรัฐ-เอกชน

วันที่ 25 มกราคม 2566 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจ ธุรกิจจัดตั้งใหม่ปี 2565 พบว่าจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ปี 2565 จำนวน 76,488 ราย เมื่อเทียบกับปี 2564 จำนวน 72,958 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 3,530 ราย คิดเป็น 5% และเมื่อเทียบปี 2563 จำนวน 63,340 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 13,148 ราย คิดเป็น 21%

“เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ มีการจับจ่ายใช้สอยจากการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงเทศกาล มีการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้มีความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ”

ทศพล ทังสุบุตร
ทศพล ทังสุบุตร

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 7,061 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4,833 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 3,014 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ

ขณะที่ธุรกิจเลิกประกอบกิจการปี 2565 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำปี 2565 มีจำนวน 21,880 ราย เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 127,048.39 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,012 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,023 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 623 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2566 มีการคาดการณ์ว่า GDP จะอยู่ที่ 3-4% จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จะส่งผลการขยายตัวในการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การบริโภคมีการเพิ่มขึ้น มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลต่อปัจจัยบวกในการดำเนินธุรกิจ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนก็ตาม และคาดการณ์ว่าการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2566 จะใกล้เคียงปี 2565 อยู่ระหว่าง 72,000-77,000 ราย

นายทศพลกล่าวอีกว่า การจดทะเบียนในเดือนธันวาคม 2565 พบว่าจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนธันวาคม 2565 จำนวน 4,008 ราย เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 21,215.60 ล้านบาท

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 352 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 318 ราย คิดเป็น 8% และอันดับ 3 คือธุรกิจในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 201 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนธันวาคม 2565 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการประจำเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวน 5,784 ราย เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 22,069.76 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 514 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 241 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 167 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ

ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนธันวาคม 2565 อยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 850,480 ราย มูลค่าทุน 21.19 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 200,437 ราย คิดเป็น 23.57% บริษัทจำกัด จำนวน 648,661 ราย คิดเป็น 76.27% และบริษัทมหาชน จำกัด จำนวน 1,382 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว ปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม) เดือนมกราคม-ธันวาคม 2565 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจำนวน จำนวน 583 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 128,774 ล้านบาท

ส่วนเดือนธันวาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 53 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจจำนวน 20 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจจำนวน 33 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 16,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากเดือนพฤศจิกายน 2565 (เพิ่มขึ้น 10,279 ล้านบาท)

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ได้แก่ ญี่ปุ่นจำนวน 14 ราย เงินลงทุน 515 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์จำนวน 13 ราย เงินลงทุน 3,894 ล้านบาท และจีนจำนวน 6 ราย เงินลงทุน 629 ล้านบาท ตามลำดับ