ปตท.เผยผลการดำเนินงาน 2560

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยผลประกอบการของ ปตท. ปี 2560 มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 1.559 ล้านล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 74,552 ล้านบาท และเมื่อรับรู้ผลกำไรของบริษัทในกลุ่มตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 60,628 ล้านบาท ทำให้งบการเงินรวมของ ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1.996 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 16.1) และมีกำไรสุทธิรวม 135,180 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 42.9) คิดเป็นกำไร 46.74 บาทต่อหุ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทในกลุ่มดีขึ้น ได้แก่

• ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 41.3 เป็น 53.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8)

• ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น

• เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (productivity improvement) สร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) สูงถึง 3.0 หมื่นล้านบาท ทั้งการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายดำเนินการและค่าใช้จ่ายลงทุน

• รับเงินปันผลและกำไรจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนได้แก่ หน่วยลงทุนในกองทุนดัชนีพลังงานและปิโตรเคมี (EPIF) และหุ้น SPRC รวม 6.8 พันล้านบาท

• เงินบาทแข็งค่าในช่วงปลายปี ทำให้มีกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.37 หมื่นล้านบาท

ผลประกอบการที่ดีขึ้นจึงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทั้งกลุ่ม ปตท. ประสบผลสำเร็จ เห็นได้จากการเดินเครื่องของทุกหน่วยการผลิตสูงขึ้น โดยไม่มีการหยุดชะงักที่สำคัญ แม้ว่าค่าการตลาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันจะลดลงจากปีก่อน 9.1 พันล้านบาท โดย ปตท. จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายเงินปันผลรวมสำหรับผลการดำเนินงานปี 2560  ในอัตรา 20 บาทต่อหุ้น ซึ่งกระทรวงการคลังที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 3.67 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครืออีกประมาณ 3.46 หมื่นล้านบาท รวมเป็นรายได้นำส่งรัฐจากกลุ่ม ปตท. สำหรับผลประกอบการปี 2560 รวมประมาณ 7.13 หมื่นล้านบาท

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีที่ผ่านมา ปตท. ได้จัดทำแผนการลงทุน 5 ปี (2561-2565) ตามกลยุทธ์ Do now (แผนระยะสั้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน) Decide Now (แผนระยะกลางเพื่อการเติบโต) Design Now (แผนระยะยาวเพื่อสร้าง New S-Curve) ในวงเงิน 3.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ได้แก่ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 คลังรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) การปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมทั้งการศึกษาธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต อาทิ โครงการ Ethane Extraction โครงการความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม และ Electricity Value Chain ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ EEC ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยได้เตรียมงบประมาณสำรองในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 2.4 แสนล้านบาท

ภายใต้หลักการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว ปตท. ยังมุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Business) และดำเนินกิจการเพื่อสังคมอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยมีโครงการหลักที่ได้ดำเนินการ ได้แก่

• การจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. และพัฒนาไปสู่ศูนย์สินค้า Roadside Station ในพื้นที่ท่องเที่ยว

• การพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ ชุมชน อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่คุ้ง  บางกะเจ้า

• การสนับสนุนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ให้เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของภูมิภาค

• การสนับสนุนการกีฬาและนักกีฬาไทย ให้สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทย

• การจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่เชื่อมโยงการพัฒนาสังคมกับการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ ของกลุ่ม ปตท. อาทิ ร้านกาแฟอเมซอนของผู้พิการ

นอกจากนี้ ปตท. อยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์ความเย็นจากคลังรับ LNG เพื่อทำห้องเย็นสำหรับผลไม้ที่จังหวัดระยองอีกด้วย


“ปตท.จะมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พร้อมนำรายได้มาลงทุนโครงข่ายพลังงานและการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ประเทศ ขยายลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ EEC รองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรและผู้ประกอบการรายย่อยที่จะเติบโตไปพร้อมกับ ปตท. ควบคู่กับการขยายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักธรรมาภิบาล การกำกับดูแลกิจการที่ดี การทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ ปตท. ให้เป็นที่ยอมรับในสากลและเป็นสมบัติของชาติที่คนไทยภาคภูมิใจต่อไป” นายเทวินทร์กล่าว