แหล่งบงกช G2/61 เตรียมผลิตก๊าซเพิ่ม ฉุดราคาเหลือ 172 บาท/ล้านบีทียู

แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61)
แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เผยแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61) หลังจากเปลี่ยนระบบสัมปทานสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต สามารถผลิตก๊าซได้ทันทีทะลุ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ฉุดราคาเหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียู ชดเชยก๊าซที่ลดลงของแหล่ง G1/61 ด้าน “ปตท.สผ.-เชฟรอน” คว้าสิทธิประมูลแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยไปครอง

วันที่ 7 มีนาคม 2566 นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61) จะเร่งผลิตก๊าซธรรมชาติให้มากกว่าเป้าหมายของภาครัฐที่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรืออยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเดิม) หลังจากได้เปลี่ยนระบบสัมปทานสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract หรือ PSC) ไปเมื่อช่วงวันที่ 7-8 มี.ค. 2566

สราวุธ แก้วตาทิพย์
สราวุธ แก้วตาทิพย์

ทั้งนี้ ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตจะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากแปลง G2/61 ปรับลดลงประมาณ 107-152 บาทต่อล้านบีทียู (ปรับจาก 279-324 บาทต่อล้านบีทียู ลดลงเหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียู) คิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.-ธ.ค. 2566) ช่วยสร้างเสถียรภาพของราคาก๊าซธรรมชาติที่จะนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ลดต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า และลดผลกระทบเกี่ยวกับราคาค่าไฟฟ้าของประชาชนได้

“ปัจจุบัน ปริมาณแหล่งบงกช สามารถผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ในข้อตกลงใหม่คือ ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต จะกำหนดไว้ให้มีการผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติที่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ดังนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงขอความร่วมมือผู้รับสัญญารายใหม่ คงอัตราการผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากเพื่อให้สามารถชดเชยปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเดิม)”

ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เตรียมความพร้อม รองรับการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/6) โดยได้มีการตรวจติดตามสภาพความแข็งแรง ปลอดภัยของสิ่งติดตั้งและทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมของแปลง G2/61

รวมทั้งได้จัดตั้งวอร์รูม (War Room) เพื่อรองรับการบริหารจัดการสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านในลักษณะบูรณาการ ร่วมกับผู้รับสัมปทานรายเดิม ผู้รับสัญญารายใหม่ และผู้รับซื้อปิโตรเลียม โดยมีผู้บริหารของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติบัญชาการที่ห้องวอร์รูม รวมทั้งมีทีมเฉพาะกิจภาคสนาม จำนวน 3 ทีม คอยติดตาม ควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิดบนแท่นผลิตในทะเลอ่าวไทย

โดยประจำที่แท่นผลิตกลางบงกชใต้ แท่นผลิตกลางบงกชเหนือ และเรือกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลวปทุมพาหะ เพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิตปิโตรเลียมรอบสุดท้ายในช่วงเวลาก่อนหมดอายุสัมปทาน รวมทั้งวัดปริมาณปิโตรเลียมที่คงค้างในเรือกักเก็บ ก่อนที่จะมีการส่งมอบให้กับผู้รับสัญญารายใหม่อย่างเป็นทางการ
ซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช ถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย สร้างการจ้างงาน สร้างรายได้ให้แก่รัฐในรูปแบบ ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมและรายได้อื่น ๆ (ค่าตอบแทนการต่อระยะเวลาผลิต) เป็นมูลค่ากว่า 230,000 ล้านบาท

สำหรับผู้ชนะการประมูล โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) และ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลในการยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24
โดยบริษัท ปตท.สผ. อีดี เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 และ G3/65 ขนาดพื้นที่รวม 19,515.42 ตารางกิโลเมตร


และอนุมัติให้บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร