โครงการ CASE เสวนา จับตาเส้นทางเปลี่ยนผ่าน สู่พลังงานสะอาดไทย

โครงการ CASE และเครือข่าย ร่วมปลุกพลังสังคมให้เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน

โครงการ CASE ผนึกพันธมิตร ขับเคลื่อน พลังสังคมเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

วันที่ 29 มีนาคม 2566 องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สถาบันวิจัยพลังงาน (ERI) ร่วมมือกัน ภายใต้โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean, Affordable and Secure Energy for Southeast Asia : CASE) โดยการสนับสนุนขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)

จัดเวทีสนทนา Energy Conversation “เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศไทย” ภายในงาน “Energy เอเนอร์จิ้น : จินตนาการเพื่อพลังงานที่เป็นมิตรต่อชีวิตและโลก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25-26 มีนาคมที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

สำหรับเวทีสนทนา “เส้นทางเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดประเทศไทย” จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจต่อสังคมเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายใน ค.ศ. 2050 ซึ่งการจะไปสู่จุดหมายนี้ได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับทุกคนในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

โดยประชาชนต้องเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานสะอาด รวมถึงภาครัฐที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการกำหนดนโยบายด้านพลังงาน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศไทยไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยงผลกระทบภาวะโลกร้อน

ดร.วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อธิบายว่า “โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่เสี่ยงอย่างมากต่อผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หนทางที่จะลดและบรรเทาปัญหานี้ได้คือ ประเทศไทยต้องลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะภาคพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซนี้มากสุด

นอกจากนั้น ยังต้องเลือกใช้พลังงานจากแหล่งที่สะอาด ซึ่งปัจจุบันประชาชนมีความเข้าใจเรื่องแหล่งพลังงานสะอาด และตื่นตัวมากขึ้น เห็นได้จากการติดตั้งโซลาร์เซลล์และการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว ประชาชนยังไม่สามารถเลือกใช้พลังงานสะอาดได้อย่างเต็มที่

เพราะระบบไฟฟ้าของประเทศไทยยังผลิตจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นหลักอยู่ ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายด้านพลังงานจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการปรับกฎกติกาเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดได้อย่างเต็มที่”

โครงสร้างค่าไฟคงเดิม เพิ่มความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน

ด้าน ดร.สิริภา จุลกาญจน์ นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) ได้ขยายความเรื่องการใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ว่า “ปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้นในราคาที่จับต้องได้มากกว่าในอดีต และมีโมเดลการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์เกิดขึ้นมากมาย

ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน โรงงาน และสำนักงานขนาดใหญ่ เพราะสามารถประหยัดค่าไฟลงได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ค่าไฟของประชาชนทั่วไปที่ยังต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเป็นหลักและไม่ได้ติดโซลาร์เซลล์จะมีแนวโน้มแพงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยโครงสร้างค่าไฟที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานให้สูงขึ้น และภาระจะตกอยู่กับประชาชนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาดจะทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มบทบาทในการกำกับดูแลระบบไฟฟ้าให้เสถียรและมีคุณภาพ โดยต้องอาศัยเทคโนโลยีอย่างแบตเตอรี่ในการกักเก็บพลังงาน รวมทั้งสมาร์ทกริด ที่ยังมีต้นทุนสูงมากในปัจจุบัน ซึ่งเอกชนและประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย”

องค์กรระหว่างประเทศเกาะติดแผนพลังงานไทย

ด้านคุณณัฐวัฒน์ สุวัฒนพงษ์ธาดา ที่ปรึกษาด้านพลังงาน องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ได้เสริมข้อเสนอถึงภาครัฐในการทำหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนพลังงานสะอาดในประเทศไทยให้เติบโตว่า

“การสนับสนุนโดยภาครัฐเพื่อให้ต้นทุนทางเทคโนโลยีถูกลงนั้นสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยลดต้นทุนของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น โซลาร์และแบตเตอรี่ ซึ่งจะช่วยให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ แต่อีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันคือ ประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน”


เพราะผลกระทบจากการไม่เปลี่ยนผ่านจะตกที่เราไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นการประหยัดพลังงานคือการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งสามารถเริ่มได้จากตัวเอง นอกจากนั้น เรายังควรคอยติดตามแผนพลังงานของประเทศ เช่น แผนพลังงานชาติของกระทรวงพลังงาน