“วิกรม” ให้เวลารัฐบาลทำงาน 1 ปีก่อนตำหนิ ชี้นโยบายแจกเงินต้องเคลียร์ที่มาแหล่งเงิน

นายวิกรม กรมดิษฐ์
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)

“วิกรม” แนะคนไทยปล่อยรัฐบาลได้ทำหน้าที่บริหารประเทศครบ 1 ปีก่อน ค่อยตำหนิ ถ้าทำตามที่พูดไว้ไม่ได้ มองนโยบายแจกเงินช่วยคนจนได้ระยะสั้น แต่ต้องเคลียร์ให้ชัด เอาเงินจากไหน จ่ายคืนอย่างไร

วันที่ 13 กันยายน 2566 นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน ตนมองว่ารัฐบาลที่กำลังจะไปแจกเงินให้กับประชาชนเป็นการช่วยระยะสั้น เพื่อให้ประชาชนมีเงิน และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าเม็ดเงินตรงนี้เอาไปให้คนจนจริง ๆ และเมื่อพวกเขาเอาใช้จ่าย

ตนก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนจนในระยะสั้น และกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะไม่ยาว ปัญหาก็คือ เงินตรงนี้ถ้าเอาไปแจกแล้ว รัฐบาลจะมีภาระ ประเทศจะมีปัญหาหรือไม่ เพราะมันเป็นเงินส่วนรวม แน่นอนว่า ถ้าเรามีเงินเยอะ มีความสามารถในการหาเงินมาและคืนเงินได้ในอนาคต และนำมาช่วยประชาชนกลุ่มคนจนที่มีปัญหามาตั้งแต่สมัยโควิด ตนก็คิดว่าเป็นประโยชน์ เพราะเงินตรงนี้จะเข้าไปกระตุ้นในภาคการผลิต

เมื่อถามถึงนโยบายของรัฐบาลในการลดราคาพลังงาน นายวิกรมกล่าวว่า ตนมองว่ารัฐบาลต้องไปดูประเทศเพื่อนบ้านข้าง ๆ เรา ว่ารายได้ต่อหัวของประชากรในระดับเดียวกัน หรือจีดีพีต่อหัว ต้นทุนของค่าครองชีพมันน่าจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วค่อยไปดูราคาพลังงานว่าควรอยู่ที่เท่าไหร่

วันนี้ถ้าจะประกาศลดอะไรที่มันเป็นของส่วนรวม มันต้องมีที่มา มีเหตุผล ที่จะต้องไม่กระทบต่อเรื่องการลงทุนด้วย เราอย่าไปเอาใจประชากรอย่างเดียว เราต้องดูตัวแม่ในการผลิตด้วย เพราะประเทศจะต้องเดินไปด้วย โรงงาน แหล่งการผลิต ถ้ามีต้นทุนที่สูงก็ไม่สามารถทำได้

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่คุยกับแค่ไม่กี่คน จะต้องมีการศึกษา ทำการบ้าน อย่างเช่น ประเทศเวียดนาม ทำไม 5 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินในการลงทุนของเขามากกว่าถึง 2-3 เท่า ก็เพราะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำในเวียดนามมีราคาถูก ต้องดูปัญหาตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็จะขาดความสามารถในการลงทุน เพราะประเทศต่าง ๆ เช่น จีน สิงค์โปร์ เวียดนาม ล้วนแต่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนทั้งสิ้น

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ นายวิกรมยังกล่าวถึงนโยบายขึ้นค่าแรงว่า เป็นสิ่งที่จำเป็น จะไปบอกว่าเราต้องรักษาค่าแรงให้ถูกแบบนี้ ตนมองว่ามันก็ไม่ยุติธรรม เราคิดแค่ว่า ถ้าวันนี้เราเป็นผู้ใช้แรงงาน เราอยู่ไหวหรือไม่ ในสถานการณ์เงินเฟ้อ ต้นทุนค่าครองชีพสูง การขึ้นค่าแรงต้องไม่ใช่เอาระบบประชานิยมมาขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด เช่น จาก 200 บาทเป็น 300 บาท ภายในเวลาเท่านี้

ตนว่าแบบนี้ไม่ใช่การบริหารเศรษฐกิจที่เหมาะสม การจะขึ้นค่าแรงควรจะขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขึ้นอย่างมีเหตุผล เช่น เงินเฟ้อเท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ค่าพลังงานเท่าไหร่ แต่ละปีมันเพิ่มเท่าไหร่ เมื่อเราเห็นตัวเลขตรงนี้แล้ว ก็มาดูว่าเราจะปรับจากตัวเลขนี้มากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งต้องทำทุกปี เพราะต้นทุนมีการขยับขึ้น

ADVERTISMENT

“ที่ผ่านมาเรามีนักการเมืองที่มีผลงานทางเศรษฐกิจกี่คน แต่วันนี้เราได้คนที่เขามีฝีมือ มีผลงาน เขาบริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาผ่านขั้นตอนมา เขารู้ว่าอะไรถูกควร ปล่อยให้เขาบริหารสัก 1 ปี เมื่อครบแล้วค่อยอัดเต็มที่ ไม่ต้องยั้งมือ ที่พูดไว้ทำได้หรือไม่

วันนั้นถ้าผมมีโอกาสก็จะไปอัดด้วย วันนี้เราเป็นประชาชน เป็นเจ้าของประเทศต้องให้โอกาสเขา คอยดูว่าสิ่งที่เขาพูดมาทำได้กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อครบ 1 ปี สิ่งใดที่เขาทำไม่ได้ เราก็อัดเขา แต่สิ่งไหนที่เขาทำได้เราก็ต้องปรบมือ สนับสนุนเขา ถ้าเราทำแบบนี้ คนเก่ง ๆ ในประเทศเราก็จะมีกำลังใจ เพราะทุกวันนี้ประเทศไทยมีคนเก่งจำนวนมาก แต่ไม่มีใครยอมที่จะมาทำหน้าที่บริหาร เพราะไม่อยากเจ็บตัว”

นายวิกรมกล่าวต่อว่า คนที่มาทำหน้าที่บริหารประเทศถ้าเขาสามารถตั้งใจกับงานและหน้าที่รับผิดชอบได้เต็ม 100 โดยที่ไม่ต้องมีใครไปยุ่งกับเขา ปล่อยให้เขาทำงานไปก่อน สุดท้ายแล้วประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่ประเทศ