ธุรกิจตั้งใหม่ 8 เดือน 61,558 ราย แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว

จดทะเบียนธุรกิจใหม่
ภาพจาก Canva

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนสิงหาคม 2566 จำนวน 7,424 ราย สูงสุดติดต่อกัน ส่วน 8 เดือนมีจำนวน 61,558 ราย แรงหนุนจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่งผลธุรกิจเกี่ยวเนื่องโตเท่าตัว โรงแรม-นำเที่ยว-แลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งปี 2566 คาดจดทะเบียนธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 79,000-86,000 ราย

วันที่ 22 กันยายน 2566 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยผลการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนสิงหาคม 2566 พบว่าจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 7,424 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 24,905.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.08% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 8.41% จากเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ยังเป็นการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี ของเดือนสิงหาคม (สิงหาคม 2557-2566) และสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน (ม.ค.-ส.ค. 66)

ส่งผลให้ 8 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุดในรอบ 10 ปี (2557-2566) จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 61,558 ราย เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา (8 เดือนแรก ปี 2565) คิดเป็น 14.90%

สำหรับประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 584 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 482 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 360 ราย คิดเป็น 5%

ส่วนปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นยังคงมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก สะท้อนจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย 8 เดือนแรก ปี 2566 มีจำนวน การจดจัดตั้งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 60.66% (ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโต 1.89 เท่า ตัวแทนธุรกิจการเดินทางเติบโต 1.41 เท่า, ธุรกิจจัดนำเที่ยวเติบโต 1.03 เท่า, ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารเติบโต 45.46% และธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุดเติบโต 42.86%) มีสัดส่วนคิดเป็น 7.94% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งทั้งหมดใน 8 เดือนแรก ปี 2566

นายทศพล ทังสุบุตร
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 1 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (8 เดือนแรก ปี 2565) ได้แก่ ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืชเติบโต 2.07 เท่า (เพิ่มขึ้น 118 ราย) จากนโยบายส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้างเติบโต 1.70 เท่า (เพิ่มขึ้น 311 ราย) จากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีธุรกิจที่รับบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย โรงแรม รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น

ADVERTISMENT

ธุรกิจให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์เติบโต 1.40 เท่า (เพิ่มขึ้น 155 ราย) จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและภาคธุรกิจที่นิยมการเช่ารถยนต์มากขึ้นและธุรกิจการปลูกพืชประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์เติบโต 1.12 เท่า (เพิ่มขึ้น 201 ราย)

อย่างไรก็ดี จากปัจจัยต่าง ๆ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 32,000-39,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 79,000-86,000 ราย

ADVERTISMENT

ธุรกิจเลิก

นายทศพลกล่าวอีกว่า จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 มีจำนวน 2,007 ราย โดยมีมูลค่า ทุนจดทะเบียนจำนวน 7,038.02 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น คิดเป็น 3.40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 7.50% จากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่การจดทะเบียนธุรกิจเลิก 8 เดือน มีจำนวน 10,971 ราย

ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 172 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 85 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 49 ราย คิดเป็น 2% ตามลำดับ

ปัจจุบันธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ 31 สิงหาคม 2566 อยู่ทั่วประเทศ จำนวน 888,090 ราย มูลค่าทุน 21.51 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 202,589 ราย คิดเป็น 22.81% บริษัทจำกัด จำนวน 684,080 ราย คิดเป็น 77.03% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,421 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ

ธุรกิจต่าวต่างด้าว

การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว เดือนสิงหาคม 2566 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 58 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 23 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 35 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 6,840 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 จำนวนธุรกิจที่คนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น 14% (เพิ่มขึ้น 7 ราย) ในขณะที่เงินลงทุนลดลง 32% (ลดลง 3,183 ล้านบาท)

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 15 ราย เงินลงทุน 2,088 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 11 ราย เงินลงทุน 1,070 ล้านบาท และฮ่องกง จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 2,026 ล้านบาท ตามลำดับ

ปี 2566 เดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 435 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 65,790 ล้านบาท

สถิติธุรกิจตั้งใหม่