
รายได้ภาคเกษตรมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาโรคแมลง ดังนั้นการสนับสนุนให้เกษตรกรไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นับได้ว่าสำคัญมาก ซึ่งนโยบาย “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มอบให้กับกรมวิชาการเกษตร ในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อขับเคลื่อนแผนงานเข้าสู่ปีที่ 51 ภายใต้แนวคิด “ตลาดนำการวิจัย มุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” มุ่งใช้องค์ความรู้ และนวัตกรรมใหม่แก้ปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน
นโยบาย 100 วัน
ในปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชใหม่ ๆ กระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ขณะที่ประชาชนมีความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ตลอดจนการแข่งขัน และการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศรุนแรงมากขึ้น
กรมวิชาการเกษตรเสมือนเป็นคลังสมอง ศึกษา วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาภาคการเกษตรของไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะต้องร่วมกับหน่วยงานพี่น้อง 77 จังหวัดผลักดันแก้ไขปัญหาให้เกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
รับโจทย์เร่งงาน 100 วัน
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า หลังจากได้รับมอบนโยบายจากรัฐมนตรี วางเป้าหมายใน 100 วันแรกจะทำสงครามกับโรคและแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ
“ปัญหาการดำเนินงานด้านวิจัยในช่วงที่ผ่านมา ยังพบปัญหาว่างานวิจัยที่ถูกถ่ายทอด และยังขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลผลงาน ตลอดจนการนำไปต่อยอด กรมอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อติดตามรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัย เพื่อให้เป็นระบบมากขึ้น”
หลังจากนั้น กรมวางเป้าหมายการทำงานระยะต่อไปในปี 2567-2568 ว่าจะพัฒนางานวิจัยให้มากขึ้น และครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต และจะต่อยอดไปถึงงานด้านสิ่งแวดล้อม
ลุยวิจัยพันธุ์พืชใหม่
โดยเบื้องต้นกรมได้เตรียมแผนจะนำงานวิจัย เข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับสินค้าอ้อยโรงงาน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ทางกรมจึงได้มีการวิจัย เพื่อมุ่งพัฒนาให้ได้พันธุ์อ้อยใหม่ ซึ่งกรมได้รับรองแล้ว เช่น กวก.ขอนแก่น 4 กวก.สุพรรณบุรี 1 กวก.ศรีสำโรง 1 เพื่อลดความเสี่ยงจากพันธุ์เดิม คือ ขอนแก่น 3, พันธุ์ LK92-11 ช่วยเพิ่มผลผลิต ทั้งยังต้านทานต่อโรคและแมลงได้
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังใหม่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ CMR 58-75-110, CMR 56-71-68 และ CMR 59-55-202 ซึ่งจะเป็นพันธุ์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ทนทานต่อโรค จะช่วยเกษตรกรให้สามารถลดต้นทุนเพาะปลูก เป็นต้น
วัดการปล่อยคาร์บอนพืช
อีกด้านหนึ่ง นายพงศ์ไท ไทโยธิน รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากการที่หลายประเทศให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมีการกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กรมจึงต่อยอดงานวิจัยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพืชเกษตร
โดยอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางจัดทำกลไก “GAP คาร์บอนเครดิต พลัส” ขึ้นมา เพื่อเป็นมาตรฐานการวัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพืชเกษตร โดยจะนำร่องในพืชเศรษฐกิจหลัก 6 ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรที่เข้าร่วมสามารถทำได้ก็จะสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปขายในตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นช่องทางหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง
“GAP คาร์บอนเครดิต พลัสนี้ กรมเป็นผู้พัฒนา ซึ่งกรมได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อจัดทำแพลตฟอร์มมาตรฐานให้เกษตรกรนำใบรับรองเพื่อไปซื้อ-ขายในตลาดได้ เป้าหมายจะร่วมกับเอกชนเตรียมใช้ในปี 2567”
ทั้งนี้ ก่อนที่จะออกมาตรฐานได้นั้นจะรวบรวมข้อมูลว่า ปัจจุบันการทำเกษตรพืชหลัก 6 ชนิด เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร และปล่อยอย่างไร เช่น อ้อยโรงงาน มีการปลูกและการใส่ปุ๋ยแบบนี้ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทใด ปริมาณเท่าไร จากนั้นจะนำเอาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้น
เพื่อเป็นเครื่องมือวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดทำคาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปสร้างรายได้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง