นภินทร ถก 12 สถาบันการเงิน ดัน SMEs ไทยโต 40% ของ GDP

นภินทร ศรีสรรพางค์

นภินทร นั่งหัวโต๊ะประชุมแนวทางการสนับสนุน SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดงานใหญ่ ‘มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย’ ต้นปีหน้า

วันที่ 28 ตุลาคม 2566 นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือแนวทาง การจัดกิจกรรม “จับคู่กู้เงิน” สถาบันการเงินกับ SMEs ไทย ว่า “ เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566

โดยได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชิญสถาบันการเงิน 12 แห่ง และ 6 หน่วยงานพันธมิตร เข้าร่วมหารือเพื่อวางแนวทางการสนับสนุนแหล่งเงินทุน พร้อมออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยตั้งเป้าว่า อีก 4 ปีข้างหน้า SMEs ไทยจะสร้างมูลค่าตลาดและเติบโตทะลุ 40% ของ GDP ประเทศ

               

การประชุมในครั้งนี้ ประเด็นสำคัญ คือ การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยของไทยให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น โดยขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมประชุมพิจารณาออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือแพคเกจพิเศษแก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยเป็นการเฉพาะ

ทั้งกรอบวงเงิน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ระยะเวลาการผ่อนชำระ การค้ำประกัน/หลักประกันการเงินกู้ เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และการอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วขึ้น รวมทั้ง ขอความร่วมมือจาก 6 หน่วยงานพันธมิตรให้การส่งเสริมสนับสนุนและสร้างความยั่งยืนแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการจัดงานใหญ่เพื่อผู้ประกอบการ SMEs ไทย ชื่องาน ‘มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย’ ที่จะจัดขึ้นช่วงต้นปี 2567 ซึ่งกิจกรรม ‘จับคู่กู้เงิน’ ระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยกับสถาบันการเงิน จะเป็น 1 ไฮไลท์สำคัญของการจัดงาน

เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สามารถจับต้องและเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน หากการจับคู่ดังกล่าวประสบความสำเร็จจะสะท้อนถึงภาพการผนึกกำลังระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือและผลักดันให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากขึ้น เป็นการขยายโอกาสทางการค้า ขยายการลงทุน เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ซึ่งแหล่งเงินทุนดังกล่าวถือเป็นหัวใจหลักและเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการของคนตัวเล็กที่มีสายป่านด้านเงินทุนที่ไม่ได้ยาวมากนัก

การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการต่อยอดให้ผู้ประกอบการรายย่อยของไทยสามารถเดินบนเส้นทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง สร้างแต้มต่อทางธุรกิจ และมีเสถียรภาพเพียงพอในการประกอบกิจการ พร้อมเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เดินไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่ง

‘มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย’ และ กิจกรรม ‘จับคู่กู้เงิน’ เป็นภารกิจเร่งด่วน Quick Win ของกระทรวงพาณิชย์ ในการสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ SMEs ผลลัพธ์สำคัญของการจัดงานเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชน เศรษฐกิจในประเทศเกิดการหมุนเวียน และช่วยขยายตลาดแก่ผู้ประกอบการ SMEs

เบื้องต้น กำหนดจัดมหกรรมฯ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และ 3 ภูมิภาคของประเทศ คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ โดยกิจกรรมหลักภายในงาน ประกอบด้วย

1) การเปิดพื้นที่ให้ SMEs เข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า อาทิ ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจอาหาร ผลิตภัณฑ์ชุมชน กว่า 100 คูหา

2) การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจ

3) การสร้างองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพธุรกิจโดยการจัดอบรมสัมมนาในหัวข้อที่ SMEs จำเป็นต้องรู้เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น กฎระเบียบด้านการค้าระหว่างประเทศ สิทธิประโยชน์ FTA และแนวทางการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

4) การให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ภายใต้กิจกรรม ‘จับคู่กู้เงิน’

5) การให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจ เทคนิคการขอสินเชื่อสถาบันการเงินจากผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์

เบื้องต้นที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า SMEs ไทยมีความต้องการหลัก คือ ‘มีความรู้ กู้เงินได้ ขายของดี มีกำไร ใช้หนี้ทัน’ ซึ่งการประชุมหารือวันนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการได้ทุกข้อ

ส่งผลให้การหารือเป็นไปด้วยดีในทิศทางเดียวกัน สถาบันการเงินและหน่วยงานพันธมิตรพร้อมให้ความช่วยเหลือ/สนับสนุนการจัด ‘มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย’ และ กิจกรรม ‘จับคู่กู้เงิน’ อย่างเต็มที่ และยินดีร่วมผลักดันให้ SMEs ไทย สร้างมูลค่าทางการตลาดและมีอัตราการเติบโตทะลุ 40% ของ GDP ประเทศ

พร้อมรับนโยบายไปดำเนินงานเพื่อแปลงความต้องการด้านสินเชื่อ/ขอรับการสนับสนุนด้านต่างๆ ของผู้ประกอบการ SMEs ให้กลายเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริง โดยขอให้กระทรวงพาณิชย์เป็นแกนกลางในการประสานงานระหว่างผู้ประกอบการ สถาบันการเงิน และหน่วยงานพันธมิตรเพื่อให้เกิดความคล่องตัว

ทั้งนี้ กิจกรรมจับคู่กู้เงินจะช่วยลดต้นทุนการประกอบธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ SMEs ได้ในระดับหนึ่ง ลดการกู้ยืมเงินนอกระบบ เป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างหน่วยธุรกิจให้แน่นแฟ้นขึ้น รวมถึง การได้รับคำปรึกษาจากหน่วยงานพันธมิตรอย่างตรงจุด ทำให้เข้าถึงสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเหมาะสมกับผู้ประกอบการแต่ละประเภท

สามารถนำไปปรับใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุประสิทธิผลสูงสุด ส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมา สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน

ธนาคารที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

รวมทั้ง ได้เชิญ 6 หน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด สมาคมธนาคารไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยมีตนนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุม