
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดนโยบายปี 2567 “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก รับอุตสาหกรรมใหม่ Megatrends ปั้นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาคให้ได้ พร้อมสนับสนุนแหล่งเงินทุนจากทุกมาตรการ ตั้งเป้าส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ 18,400 ราย สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากกว่า 10,000 ล้านบาท
วันที่ 18 มกราคม 2567 นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ. หรือดีพร้อม) เปิดเผยถึงทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายในปี 2567 ว่า ยังคงมุ่งดีสร้าง ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาสมรรถนะของภาคอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มและประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ผ่านโครงการและมาตรการต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ภายใต้แนวคิด “คิดถึงธุรกิจ คิดถึงดีพร้อม”
ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงและความผันผวน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ภาวะโลกเดือด ภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ และเมื่อโลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมและผู้ประกอบการก็ต้องมีการปรับเพื่อให้พร้อมรับกับอนาคต
สำหรับปี 2567 แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม ได้กำหนดนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต เพื่อเป็นกรอบทิศทางการดำเนินงานที่สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับโลก (Megatrends) ผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน ดังนี้
1. ปรับตัวให้ก้าวทันเศรษฐกิจยุคใหม่ (RESHAPE THE ECONOMY) ผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DIGITAL TRANSFORMATION) ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร (People) กระบวนการผลิต (Process) การตลาด (Marketing) และผลิตภัณฑ์ (Product) รวมถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) ระบบอัตโนมัติ (Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ
การส่งเสริมเศรษฐกิจสูงวัย เศรษฐกิจสุขภาพ (AGING SOCIETY) ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการด้าน Wellness & Healthcare ให้สอดคล้องกับผู้บริโภคในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่มีส่วนช่วยสร้างเสริมสุขภาพ
อาทิ อาหารแห่งอนาคต (Future Food) อาหารจากซูเปอร์ฟู้ด (Super Food) ผลิตภัณฑ์สมุนไพร (Herbal Product) เพื่อรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (SOFT POWER)
สนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับมูลค่า ผลิตภัณฑ์ไทย กระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก โดยมุ่งพัฒนาให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในสาขาอาหารและแฟชั่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (DEFENCE INDUSTRY) ให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาศัยกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกต่อไป
และการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (CLIMATE CHANGE) ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ด้วยการสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการพร้อมรับมือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้ด้าน BCG และมาตรการสำคัญ
อาทิ Thailand Taxonomy/CBAM/Carbon Credit เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ Biomass/Life Cycle Assessment/Carbon Footprint/Circular Business Model/Upcycling/Eco-labelling และด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากเส้นใยที่เป็นวัสดุชีวภาพ
2. ปรับเปลี่ยนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (RESHAPE THE AREA) ผ่านการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค (ECONOMIC CORRIDOR) ได้แก่ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก (CWEC) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทานให้กับสินค้าและบริการที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมายของแต่ละพื้นที่
รวมถึงการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการและชุมชนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง และการพัฒนาชุมชนตามแนวคิด “ชุมชนเปลี่ยน” (COMMUNITY TRANSFORMATION) ด้วยการเปลี่ยนชุมชนให้ดีพร้อมโดยบริบทของอุตสาหกรรม
มุ่งเน้นการพัฒนาที่ขับเคลื่อนจากชุมชน (Community-led Development) และการพัฒนาแบบองค์รวมที่ครอบคลุม ทั้งชุมชนมิใช่เพียงเฉพาะราย ตลอดจนเชื่อมโยงและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) เข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการเปลี่ยนชุมชนด้วยเครื่องมือ กระบวนการ หรือเทคโนโลยี ที่สอดคล้องกับระดับศักยภาพของชุมชนในแต่ละพื้นที่
3. ปรับเพิ่มการเข้าถึงโอกาส (RESHAPE THE ACCESSIBILITY) ผ่านการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (FINANCIAL INCLUSION) โดยพัฒนากลไกการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม SMEs
ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกันหรือหลักประกันไม่เพียงพอให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ภายใต้ความร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงินให้กับผู้ประกอบการไทยผ่านเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อรูปแบบใหม่ที่สอดรับกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม
และการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเงินเบื้องต้น (Financial Literacy) การยกระดับการให้บริการ (DIPROM E-SERVICE) โดยเร่งการปฏิรูประบบการให้บริการของภาครัฐให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงการบริการของดีพร้อมผ่านระบบออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างครบวงจร และเป็นการกระจายการให้บริการที่ครอบคลุมกับความต้องการในแต่ละพื้นที่
การขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) โดยเร่งเดินหน้าสร้างความร่วมมือและบูรณาการกับองค์กรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ กระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศต่าง ๆ ในลักษณะ Local-to-Local เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการทั้งสองฝ่าย ผ่านการเชื่อมโยงกับ Big Brother การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ
การถ่ายทอดเทคโนโลยี การส่งเสริมการลงทุน การเจรจาจับคู่ธุรกิจ ตลอดจนการร่วมกันดำเนินโครงการและกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ โดยในปีงบประมาณ 2567 ดีพร้อมมีเป้าหมายการส่งเสริมและพัฒนายกระดับผู้ประกอบการกว่า 18,400 ราย คาดจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท