
“ราช กรุ๊ป” ทุ่ม 15,000 ล้าน ปี 2567 รุกธุรกิจพลังงาน-โครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าลงทุนพลังงานหมุนเวียน อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม-ไทย ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตปีละ 700 MW ดัน EBITDA พุ่ง 14,124 ล้านบาท สิ้นปีรอลุ้น PPA ตามสัญญาพร้อมปรับโมเดลธุรกิจ พร้อมสานต่อต่อแผนลงทุน 10 ปี
วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยนโยบายหลังรับตำแหน่งว่า บริษัทจะยังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าโดยจะมุ่งเป้าให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจ และความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จควบคู่กันไป
โดยปี 2567 คาดว่า EBITDA จะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ 14,124 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้า การลงทุนในโรงพยาบาล การเข้าซื้อโรงไฟฟ้าในเวียดนามที่จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเข้ามา
เปิดแผนลงทุน
บริษัทวางงบลงทุน 15,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปี 2567-2573 เพิ่มขึ้นปีละ 700 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาหลายโครงการ แต่คาดว่าจะมีความชัดเจน 6 โครงการ กำลังการผลิตรวมประมาณ 550 เมกะวัตต์ เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เป็นเชื้อเพลิงหลัก 1 โครงการ และเป็นโครงการพลังงานทดแทน 5 โครงการ
สำหรับแผนลงทุน ปี 2567 จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักคิดเป็น 95% ของรายได้ โดยมีโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งจะเน้นก๊าซธรรมชาติ เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำและยอมรับได้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ส่วนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะประกาศเลิกใช้ภายในปี 2693
ส่วนโครงการพลังงานทดแทน ยังคงเดินหน้าสานต่อเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตให้สำเร็จไม่น้อยกว่า 30% ในปี 2573 จากปัจจุบันที่ 26% และธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอร์รี่ เพื่อสนับสนุนโรดแมปการลดก๊าซเรือนกระจกของราช กรุ๊ปและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของประเทศด้วย สำหรับประเทศที่อยู่ในความสนใจลงทุนจะเป็นฐานธุรกิจเดิม ได้แก่ ประเทศไทย ออสเตรเลีย สปป.ลาว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
บริษัทได้วางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าปี 2567-2573 มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 700 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ในมือรวมประมาณ 4,340 เมกะวัตต์
“ปี 2567 ตอนนี้มั่นใจว่า สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อย่างน้อย 550 เมกกะวัตต์แน่นอน เนื่องจากมีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่ 6 โครงการ ซึ่งจะมีโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก 1 โครงการและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 5 โครงการ ส่วนอีก 150 เมกะวัตต์ที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างการหาโครงการลงทุนเพิ่มเติม” นายนิทัศน์กล่าว
ส่วนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน จะขยายการลงทุนครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งรวมถึงระบบโลจิสติกส์และระบบรางและรถ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการสุขภาพ นอกจากนี้ยังเพิ่มน้ำหนักกับเชื้อเพลิงในอนาคต โดยเฉพาะไฮโดรเจน
รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของสินทรัพย์ ได้แก่ เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน การนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อบริหารต้นทุนและระบบดักจับ ใช้ประโยชน์และกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายรักษาสัดส่วนรายได้ 5% จนถึงปี 2570 และอาจขยายไปถึง 15% ในปี 2573
ไตรมาส 2 โตต่อเนื่อง
สำหรับแรงหนุนรายได้ไตรมาส 2 จะเติบโตที่ดีขึ้น จาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าหงสาที่ปิดซ่อม และการเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Paiton Energy ในอินโดนีเซีย ที่ปิดดีลเรียบร้อยและจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมและมิถุนายนในปีนี้ ซึ่งคาดว่า คาดว่าจะรับรู้กำไรตามส่วนแบ่งการลงทุนในโครงการนี้ ราว 2,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีกระแสเงินสดเพิ่มจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองที่เริ่มดำเนินการแล้ว

ลุ้น Private PPA ออกโมเดลธุรกิจใหม่
“เรานิยามตนเองว่าเป็นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ เราสามารถลงทุนได้หมด แม้แต่เรื่อง Data Center แต่ปัจจัยสำคัญคือ แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า (PDP) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง Private Power Purchase Agreement (Private PPA) หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดการลงทุน Data Center และคาดว่าปลายปีนี้จะได้เห็นภาพของ Private PPA ซึ่งเมื่อไหร่ที่การขายไฟฟ้ารูปแบบนี้เกิดขึ้น เราก็มีโอกาสที่เพิ่มโมเดลธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและระบบแบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงานสำหรับ Data Center” นายนิทัศน์กล่าว
“ราช กรุ๊ป” เน้นลงทุนประเทศพันธมิตร
อย่างไรก็ตามปีนี้ต้องเฝ้าติดตามปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้หลายประเทศหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น
“ขณะนี้จะเริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนจากการย้านฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติมองมาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามและไทย ก็เป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์น้อย โดยราช กรุ๊ปเองก็จะเน้นการลงทุนในประเทศอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว และประเทศกลุ่มโอเชียเนียอย่างออสเตรเลีย เพื่อความปลอดภัยของการลงทุน”
นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในออสเตรเลียที่รัฐบาลประกาศจะเพิ่มพลังงานทดแทนเป็น 82% ในปี 2573 จากปัจจุบันที่ 27% รวมถึงประกาศยุทธศาสตร์ชาติที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานไฮโดรเจนของโลกในปี 2573 รวมถึงเราก็มองเห็นการเติบโตเช่นเดียวกันในอินโดนีเซีย เนื่องจากว่า ตามแผนพลังงานชาติของอินโดนีเซีย มีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 20.9 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีสำหรับราช กรุ๊ปที่จะขยายการเติบโตในอินโดนีเซีย
ส่วนฟิลิปปินส์ก็มีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียน 11.6 กิกะวัตต์ในปี 2569 โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็นน 35% ในปี 2573 และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2583
“ราช กรุ๊ป” ชู 5 กลยุทธ์
นายนิทัศน์ กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายจะอยู่ภายใต้แนวคิด “ทำแล้ว ทำต่อ ทำให้ดีขึ้น” โดยจะผลักดันกลยุทธ์สำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย
กลยุทธ์ธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจนอกภาคผลิตไฟฟ้า หรือ Non-power
การลงทุน เพื่อรักษากระแสเงินสดและอัตราผลตอบแทนให้เหมาะสม
การบริหารสินทรัพย์ ให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าที่มีความมั่นคงเชื่อถือได้สำหรับประเทศและลูกค้า
การบริหารการเงิน ให้พร้อมสำหรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การบริหารทรัพยากรบุคคล
ลงทุนต่อเนื่อง 10 โครงการ ปี 2568-2576
พร้อมกันนี้บริษัทมุ่งดำเนินแผนการลงทุนระยะ 10 ปี (ปี 2568-2576) จากปัจจุบันราช กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ไปแล้ว 9,0007.29 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างตั้งแต่ปี 2567-2576 รวม 14 โครงการหรือคิดเป็น 1,809.69 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1,392.78 เมกะวัตต์หรือประมาณ 76.95%
โดยทั้ง 14 โครงการนี้ มีการลงทุนในไทย จำนวน 5,474.30 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 51% และการลงทุนในต่างประเทศอีก 5,342.95 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 49% ของกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลงทุน

โครงการเดินเครื่องปี 2567
- โครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยาย ปทุมธานี ประเทศไทย กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2567
- โครงการโรงไฟฟ้า REN ระบบโคเจนเนอเรชั่น นครราชสีมา ประเทศไทย กำลังผลิต 12.48 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2567
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Calabanga ประเทศฟิลิปปินส์ กำลังผลิต 35.33 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2567
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Song Giant 1 ประเทศเวียดนาม กำลังผลิต 5.55 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2567
โครงการเดินเครื่องปี 2568-2573
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 73.5 เมกะวัตต์ มีกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2568
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเบนแจที่ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 59.60 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องในปี 2568
- โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 2 จังหวัดราชบุรี ประเทศไทย กำลังผลิต 392.70 เมกะวัตต์ กำหนดเกินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2568
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมลินคอนแกบ 3 (Lincoln Gap 3) ที่ประเทศออสเตรเลีย กำลังการผลิต 252 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องในปี 2569
- โครงการแบตเตอร์รี่ที่ประเทศออสเตรเลีย กำลังผลิต 100 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องในปี 2569
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมใกล้ชายฝั่งซานมิเกลที่ประเทศฟิลิปปินส์ กำลังผลิต 220 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2571
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ซิบันดง ที่ประเทศอินโดนีเซีย กำลังการผลิตติดตั้ง 36.85 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ปี 2572
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซนาที่ประเทศฟิลิปปินส์ กำลังผลิตอยู่ที่ 220 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2572
- โครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ริสท์ อ.ทุ่งฝาย จังหวัดลำปาง ประเทศไทย กำลังการผลิต 13.95 เมกะวัตต์ กำหนดการเดินเครื่องปี 2573
- โรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A&4B ที่ประเทศ สปป.ลาว กำลังผลิต 213 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่องปี 2576