GC ดึงเบอร์ 1 โลกลงทุน-ดันไทยผงาดฮับอาเซียน

ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์
ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์

“ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์” ซีอีโอ GC เปิดวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง และคาร์บอนต่ำ พร้อมดึง Allnex เบอร์ 1 ธุรกิจเคลือบผิวลงทุนในไทย เจาะตลาดสินค้าไฮเทค เร่งเดินเครื่องผลิตพลาสติกชีวภาพ ลงทุนมาบตาพุดอัพเกรดฐานผลิตไทยสู่การเป็น Hub อาเซียน พร้อมสานต่อกลยุทธ์ “3 Steps Plus” จาก “คงกระพัน อินทรแจ้ง” ซีอีโอคนเก่า ที่ขยับไปคุมภาพใหญ่ของ ปตท.

เจาะตลาดเคลือบผิวไฮเทค

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับพันธมิตร บริษัท Allnex Holding GmbH (Allnex) ผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลกในธุรกิจผลิตภัณฑ์ Coating Resins ซึ่งเป็นบริษัทที่ GC เข้าไปลงทุนถือหุ้น 100% ก่อนหน้านี้ เพื่อขยายการลงทุนมาในประเทศไทย จากเดิมที่มีในจีนและอินเดีย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตมาบตาพุด ซึ่งเป็นฐานเดิมของ GC

มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในตลาดเคลือบผิว ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ บรรจุภัณฑ์ โลหะอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งเคลือบผิวอาคารแบบพิเศษ (Special Decoration) คาดว่าแผนจะมีความชัดเจนภายใน 1 ปีเศษ

เป้าหมายผลสำเร็จจากการลงทุนครั้งนี้จะทำให้มาบตาพุด เป็นฐานเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์พิเศษคุณภาพสูงและนวัตกรรม (Specialty & Innovation Hub) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

“เหตุผลที่มองว่าควรจะอัพเกรดการลงทุนในมาบตาพุด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อม มีนักลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก เทียบความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมีในอาเซียน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13,500 ตันต่อ 1 ล้านคน หากเทียบกับตลาดยุโรป 27,000 ตันต่อ 1 ล้านคน สหรัฐอเมริกา 32,000 ตันต่อ 1 ล้านคน ซึ่งตลาดอาเซียนมีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตของ GDP 4.6% เราจึงมองว่า ยังสามารถเติบโตได้อีก 2-3 เท่า”

เดินเครื่อง รง.พลาสติกชีวภาพ

นายณะรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้เตรียมเดินเครื่องกำลังการผลิตโรงงานผลิต PLA พลาสติกชีวภาพ ครบวงจรแห่งใหม่ ในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan Bio Complex-NBC) ที่ได้เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 50% ร่วมกับพันธมิตร คือ Cargill และเนเจอร์เวิร์ค โดยคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568

ADVERTISMENT

โรงงานนี้จะใช้น้ำตาลจากอ้อยเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อผลิต Lactic Acid ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต PLA มีกำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงของปี 2569 ทั้งยังจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้าน Bio และ Green ของประเทศ สร้างโอกาสแก่ภาคเกษตรกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปอีกขั้น จะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Material) สู่ตลาดโลก

มั่นใจฐานผลิตจีน-อินเดียแกร่ง

ประธาน GC กล่าวต่อว่า ปัจจุบันฐานการผลิตของ GC มีโรงงานในประเทศไทย 40 โรง และมีโรงงานในส่วนของ Allnex ในทวีปต่าง ๆ 30 โรงงาน ซึ่ง Allnex ประสบความสำเร็จในการพัฒนา China Hub จึงได้นำมาต่อยอดขยายฐานผลิตในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ได้แก่ โรงงาน Mahad รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และแห่งใหม่ในอนาคต โรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย เพื่อเป็น Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ADVERTISMENT

ส่วนประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่มีการขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานผลิตในจีน เพราะฐานการผลิตนี้มุ่งขายในตลาดจีน ซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน เช่นเดียวกับอินเดียก็เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรมาก จึงนับได้ว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ

เน้นมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องปรับตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ใน 5 ด้านหลัก คือ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันบริหารจัดการและปรับ Portfolio เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ บริหารสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง เดินหน้าเรื่อง ESG และปรับปรุงองค์กรโดยการนำดิจิทัลมาใช้

ส่วน New Phase of GC Journey จะต้องทบทวนและกำหนดทิศทางกลยุทธ์ 3 Step Plus ให้สอดคล้องกับภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ Megatrend และ Landscape ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป

“การสร้างการเติบโตให้กับ GC จะมุ่งเน้น 2 เรื่อง คือ ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products : HVP) และคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เราเน้นจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก และจะทำตลาดสินค้าที่เข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น

อย่างก่อนหน้านี้ที่เดินเครื่องโรงงานรีไซเคิลผลิตภัณฑ์พลาสติก Envicco มีเป้าหมายที่จะปรับพอร์ตเพิ่มสัดส่วน EBITDA สินค้ามูลค่าสูงจาก 20% เป็น 30% ในปี 2030 โดยมี Allnex และ Bio Complex เป็นเรือธงยกระดับสร้างโอกาสการลงทุนในมาบตาพุด รองรับการขยายตัวการลงทุนและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ชูกลยุทธ์ “3 Steps Plus”

นายณะรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า เราพร้อมสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus จากที่ CEO เดิม (คงกระพัน อินทรแจ้ง) ซึ่งท่านขยับไปสู่บทบาทของการดูแลองค์กร ปตท. ซึ่งเป็นภาพใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ร่วมกัน ได้วางแผน กลยุทธ์ 3 Step ประกอบด้วย Step Change-Step Out-Step Up เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโต ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งนำความพร้อมด้านนวัตกรรม ศักยภาพการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ และพลาสติกชีวภาพที่เรามีประสบการณ์ มาต่อยอดและตอบสนองแนวโน้มความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่

กลยุทธ์ Step Out หรือการสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ มีบทบาทอย่างมากต่อการเติบโตในอนาคตของบริษัท โดยกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ มุ่งเน้นการขยายตลาดและสร้างสรรค์เคมีภัณฑ์ผ่าน Allnex ที่มีโรงงานและฐานธุรกิจสารเคลือบผิวอยู่ 34 แห่งทั่วโลก

สำหรับการพัฒนาฐานการผลิต (Hub) ในทวีปต่าง ๆ นั้น Allnex ประสบความสำเร็จในการพัฒนา China Hub จึงได้นำมาต่อยอดขยายฐานผลิตในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ได้แก่ โรงงาน Mahad รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และแห่งใหม่ในอนาคต โรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย เพื่อเป็น Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังกล่าว

สร้างความยั่งยืนผ่าน ESG

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Bio และ Green ซึ่ง Nature Works ผู้ผลิตไบโอพลาสติกประเภทโพลิแลกติกแอซิด (PLA) ชั้นนำของโลก ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิดย่อยสลายได้ สามารถนำไปใช้ในหลากหลายแอปพลิเคชั่น เช่น แคปซูลกาแฟ ถุงชา และวัสดุสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ด้วยคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน

ส่วนของกลยุทธ์ Step Up หรือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ GC สานต่อแนวทางการบูรณาการหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้กรอบของ ESG (Environmental-Social-Governance สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) พร้อมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Target) ภายในปี 2593 แนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม

ซึ่งจะทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ทั้งในการศึกษาเรื่อง Carbon Capture Technology ผ่านการลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) และการศึกษาโอกาสในการนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ (Blue/Green Hydrogen) ไปใช้และพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต