
“อมตะ วีเอ็น” ตั้งเป้ารายได้ปี’67 โต 15% ลงทุน 4 นิคมอุตสาหกรรม กว่า 18,000 ไร่ รับเซมิคอนดักเตอร์ย้ายฐานการผลิต ชูเป้า Backlog กว่า 625 ไร่
วันที่ 24 มิถุนายน 2567 นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผย ในงานแถลงข่าว “AMATA Vietnam : Driving Progress in 2024 and Beyond“ แผนกลยุทธ์และภาพรวมการลงทุนในปี 2567 ว่า ปัจจุบัน AMATAV มีนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่งในประเทศเวียดนาม โดยคิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 860 ล้านเหรียญสหรัฐ
บนพื้นที่ดินที่ได้รับการพัฒนาแล้วทั้งหมด 18,750 ไร่ ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงผู้ประกอบการต่างประเทศ (FDI) ทั้งภาคอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ใช้พื้นที่มากกว่า 200 ราย คิดเป็นมูลค่าลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เกิดการจ้างงาน มากกว่า 60,000 คน
“ในปี 2567 เราได้ตั้งงบฯลงทุนเพื่อพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือและภาคใต้ โดยวางเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าสนใจเข้ามาลงทุนในเวียดนามต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน มียอดขายที่รอโอน (Backlog) 375 ไร่ บริษัทอยู่ในระหว่างเร่งดำเนินการเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า และตั้งเป้าว่า ภายในปีนี้จะมี Backlog ประมาณ 625 ไร่”

คาดจีดีพีเวียดนาม ปี’67 โต 6%
ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง เพราะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2566 เวียดนามมีจีดีพี อยู่ที่ 5.05% มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 355.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่านำเข้า อยู่ที่ 327.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.25% ขณะที่ FDI ประมาณ 36.61 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด คิดเป็น 70% ของนักลงทุนทั่วโลก อันดับ 1 เป็นประเทศสิงคโปร์ ตามด้วย ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่เข้ามาลงทุน เพื่อผลิตสินค้า และส่งออก ส่งผลให้เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“คาดว่า ปี 2567 จีดีพีจะเติบโต 6.0-6.5% มูลค่าการส่งออกและนำประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน FDI คาดว่าทำได้ใกล้เคียงหรือมากกว่าปี 2566 เพราะเพียงแค่ไตรมาสแรกก็สามารถดึงการลงทุนได้ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก ในช่วงไตรมาส 3-4 ซึ่ง FDI เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากลูกค้าทั้งหมดของอมตะ วีเอ็น มาจากนักลงทุนต่างชาติ”
“อมตะ วีเอ็น” ตั้งรับเซมิคอนดักเตอร์ย้ายฐาน
นางสมหะทัยกล่าวว่า ธุรกิจที่คาดว่าจะมีการเติบโตเร็วที่สุดในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ วีเอ็น ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ อย่างที่ผ่านมาก็มีบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ขนาดใหญ่มาตั้ง เพราะพื้นที่นิคมของอมตะ วีเอ็น ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม ใกล้ทั้งสนามบินและท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ 2 แห่ง จะตั้งโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่เวียดนามเหนือและใต้
”อุตสาหกรรมนี้เติบโตเร็วมากในเวียดนามตามเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนามที่อยากเป็นศูนย์กลางด้านอิเล็กทรอนิกส์ แต่อย่างไรก็เวียดนามยังติดปัญหาเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน ทว่า รัฐบาลเวียดนามก็เตรียมลงทุนหน่วยผลิตไฟฟ้าในเวียดนามใต้เพื่อป้อนไฟฟ้าให้กับเวียดนามเหนือ“ นางสมหะทัยกล่าว
แม้ว่าปัจจุบัน อมตะ วีเอ็น จะยังไม่ได้มีลูกค้าที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง แต่ว่าเพื่อเตรียมพร้อมการย้ายฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ความขัดแย้งจีน-ไต้หวัน ตลอดจนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงเวียดนามยังมีแร่ (rare earth) ที่สำคัญสำหรับการผลิตชิปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ อมตะ วีเอ็น ก็ได้ลงทุนโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grid) ในนิคมอุตสาหกรรมลองถั่นและนิคมอุตสาหกรรมมีฮาลอง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของอมตะ วีเอ็น ที่ลงทุนเรื่องโครงข่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ยังได้ทำสัญญากับการไฟฟ้าเวียดนามเพื่อเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์

“อมตะ วีเอ็น” ชี้จุดแข็งเวียดนาม จุดอ่อนไทย
นางสมหะทัยกล่าวเสริมว่า ประเทศเวียดนามมีจุดแข็งสำคัญคือ ข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กว่า 60 ประเทศ รวมถึงการเมืองเวียดนามมีเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงน้อยทำให้นักลงทุนมั่นใจในการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีประชากรวัยทำงานสูง อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี รวมถึงประชากรเวียดนามส่วนใหญ่มีรายได้ปานกลางทำให้กำลังการซื้อในประเทศสูง ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุน ประกอบกับปัจจัยค่าแรงและค่าครองชีพที่ถูก ขณะที่ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการขึ้นค่าแรงทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง
แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีจุดเด่นเรื่องความแข็งแรงในการพัฒนาประเทศ ความมั่นคงด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน
นิคมน้องใหม่ “อมตะซิตี้ ฮาลอง”
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง ตั้งอยู่ภาคเหนือ จ.กวางหนิง บนพื้นที่ 4,462.5 ไร่ เป็นพื้นที่ประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจ รองรับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ให้สิทธิประโยชน์เหมาะสม กับการลงทุนที่สุดของเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น การยกเว้นภาษีนำเข้า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเส้นทางคมนาคม สนามบินต่าง ๆ อาทิ สนามบินนอยไบ และสนามบินวานดอน

โดยเร็ว ๆ นี้ อมตะยังได้ประสบความสำเร็จ ในความร่วมมือครั้งสำคัญ กับพันธมิตร บริษัท MC Economic Estate Development Vietnam Corporation (MRBN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท Marubeni Corporation จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) ในการเข้าถือหุ้น สัดส่วน 20%
“กว่างจิ” เชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ 4 ประเทศ
นอกจานี้ อมตะ วีเอ็น มีนิคมอุตสาหกรรมกว่างจิ (Joint Venture) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร 3 ราย ประกอบด้วย Singapore Industrial Park J.V Co., Ltd (“VSIP JV”), Amata City Bien Hoa Joint Stock Company และ Sumitomo Corporation อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ ในพื้นที่ดังกล่าว โดยระยะแรกจะเริ่มต้น 625 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้นักลงทุนเข้ามาตั้งโรงงานได้ในไตรมาส 4 ปี 2567
โดยนิคมอุตสาหกรรมนี้เป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก ตะวันตก รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจอาศัยการเชื่อมโยงภูมิภาคของ 4 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม ลาว และพม่า พร้อมทั้งเป็นพื้นที่ที่มีความได้เปรียบในปริมาณสำรองน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานลม
“อมตะซิตี้ เบียนหัว” นำร่องนิคมสีเขียวในเวียดนาม
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว เป็นนิคมแรก ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเบียนหัว จ.ดองไน บนพื้นที่ 3,206.25 ไร่ ปัจจุบันนักลงทุนใช้พื้นที่ไปแล้ว 99% โดยจำนวนผู้ประกอบการเข้าลงทุนมากกว่า 190 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ไต้หวันและเกาหลี โดยคิดเป็นมูลค่าลงทุนมากกว่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการจ้างงานประมาณ 60,000 ราย
ซึ่งนับเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Park) และเป็นต้นแบบในการพัฒนานิคมอื่นของเวียดนาม โดยปัจจุบันพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวไปแล้วกว่า 87%
ยุทธศาสตร์การลงทุน “อมตะซิตี้ ลองถั่น”
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองถั่น พัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคตั้งอยู่ อ.ลองถั่น จ.ดองไน บนพื้นที่ 2,562.5 ไร่ มีผู้ประกอบการลงทุนแล้ว คิดเป็นมูลค่า 280 ล้านเหรียญสหรัฐ มียอดจอง (Land sale และ presale) 225 ไร่ ตั้งอยู่พื้นที่ภาคใต้เช่นเดียวกับนิคมเบียนหัว
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุน เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีการลงทุน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นถนนทางหลวงขนาดใหญ่ ทางด่วน รวมถึงถนนวงแหวน และมีการพัฒนาสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ห่างจากนิคมเพียง 10 กิโลเมตร มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาคใต้ เอื้อต่อการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย