ลุ้นระทึก 7 วัน อคส. ตรวจ “วีเอท” สิ้นสงสัยประมูลข้าวเก่า 10 ปี

แม้จะผ่านการประมูลข้าวเก่าในสต๊อกจำนวน 15,000 ตัน จาก 2 คลังสุดท้ายในโครงการรับจำนำข้าวมากว่า 10 วันแล้ว แต่องค์การคลังสินค้า (อคส.) ก็ยังไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายข้าวสารกับ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง ผู้เสนอราคาประมูลสูงสุดได้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเรื่องของข้อสงสัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทวีเอท เป็นใคร ไปจนกระทั่งถึงความสามารถในการรับมอบข้าวตามระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องออกมา “สั่งการ” ให้ อคส. กลับไปตรวจสอบข้อสงสัยทั้งหมด

วันที่ 26 มิถุนายน 2567 การเปิดประมูลขายข้าวเก่าในสต๊อกรัฐบาลที่มาจากโครงการรับจำนำข้าว 2 โกดังสุดท้ายปริมาณ 15,012 ตัน ที่ จ.สุรินทร์ ยังคงยืดเยื้อต่อไป เมื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำหนังสือถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะผู้ออก TOR เปิดประมูลเพื่อระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลทำการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงของบริษัทผู้เสนอราคาประมูลสูงสุดเพื่อให้สิ้นข้อสงสัยตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอด

ทั้งนี้ ข้าวที่เปิดประมูล 2 โกดังสุดท้ายที่ จ.สุรินทร์ มีอายุการฝากเก็บ 10 ปี จำนวนรวม 15,000 ตัน แบ่งเป็น ข้าวในคลังกิตติชัยหลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) จำนวน 11,656 ตัน หรือ 112,711 กระสอบ กับข้าวในคลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้งหลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) จำนวน 3,356 ตัน หรือ 32,879 กระสอบ

ผลการประมูลในวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา จากผู้มาซื้อซองประมูล 7 ราย ปรากฏมาเข้ายื่นซอง 6 ราย มีผู้ยื่นราคาประมูลสูงสุดคือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 64,010,216.32 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 19,070 บาท คลังกิตติชัย 209,843,000 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 18,001.99 บาท

ผู้ยื่นเสนอราคารองลงมาอีก 5 ราย ได้แก่ บริษัท ธนสรร ไรซ์ เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 60,482,800 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 18,019.11 บาท/ตัน คลังกิตติชัย 209,843,000 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 18,001.99 บาท, บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์ การเกษตร เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งเพียงคลังเดียว 56,008,888 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 16,710.07 บาท,

บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ เสนอซื้อข้าวคลังพูนพลเทรดดิ้ง 40,980,000 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 12,208.81 บาท คลังกิตติชัย 182,046,000 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 15,617.35 บาท, บริษัท สหธัญ เสนอราคาซื้อข้าวในคลังพูนผลเทรดดิ้งเพียงคลังเดียว 62,734,711.23 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 18,690 บาท และบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 53,705,477.77 บาท หรือเฉลี่ยตันละ 16,000 บาท คลังกิตติชัย 186,506,473.60 บาทหรือเฉลี่ยตันละ 16,000 บาท/ตัน

ADVERTISMENT

โดยมีข้อสังเกตว่า ราคาเสนอซื้อระหว่าง บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง ผู้ให้ราคาสูงสุด กับบริษัท ธนสรร ไรซ์ ห่างกันอยู่ประมาณ 1 บาท/กก. หรือบริษัท วีเอท เสนอราคาซื้อ กก.ละ 19.07 บาท ขณะที่บริษัท ธนสรร ไรซ์ เสนอราคาซื้อ กก.ละ 18 บาท (คลังกิตติชัย) และ 18.01 บาท/กก. (คลังพูนผล)

ขณะที่ราคาข้าวปัจจุบันประกาศโดย สมาคมโรงสีข้าวไทย ราคาข้าวขาว 5% ขายภายในประเทศอยู่ที่ กก.ละ 22.50 บาท ส่งออก กก.ละ 20.50 บาท ข้าวนึ่ง 100% กก.ละ 20.50 บาท และส่วนข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 อยู่ที่ กก.ละ 29.50 บาท

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม หลังการประมูลสิ้นสุดลงได้มีข้อวิพากษ์วิจารณ์กรณี บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง ผู้เสนอราคาสูงสุด มีทุนจดทะเบียนเพียง 2 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าข้าวทั้ง 2 คลังที่เสนอราคามารวมกันประมาณ 273 ล้านบาท จนเป็นที่มาของข้อสงสัยที่ว่า บริษัทวีเอทเป็น “ตัวแทน” ของใครหรือไม่ อย่างไร และข้าวจำนวนที่ประมูลไปได้จะถูกส่งไปจำหน่ายที่ไหน ขายภายในหรือภายนอกประเทศ

เนื่องจากราคาเสนอซื้อที่สูงถึง กก.ละ 19 บาท ทั้ง ๆ ที่เป็นข้าวเก่ามีการเก็บมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี แม้บริษัทเซอร์เวเยอร์รับตรวจสอบคุณภาพข้าวจะยืนยันว่า ข้าวในคลังที่เปิดประมูลทั้ง 2 คลังนั้น “ข้าวมีสภาพกินได้” ทว่าในความเป็นจริงจะต้องนำข้าวนั้นมาปรับปรุงคุณภาพข้าวด้วยการผสม หรือทำเป็น “ข้าวนึ่ง” ส่งออก

จากการค้นข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง พบว่า จดทะเบียนตั้งบริษัทในปี 2563 แจ้งสถานที่ตั้ง 999/9 หมู่ที่ 8 ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร วัตถุประสงค์จดทะเบียนประกอบกอบกิจการค้าข้าว จำหน่ายพืชผลทางการเกษตร มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท โรงสีสวัสดิ์ไพบูลย์ บริษัทผู้ส่งออกพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่ของประเทศ ก็มีที่ตั้งบริษัทอยู่ที่ 999 หมู่ที่ 8 ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยบริษัททั้ง 2 แห่งมี “กรรมการบริษัทคนละชุดกัน”

ขณะที่ TOR ในการเปิดประมูลข้าว หรือประกาศองค์การคลังสินค้าเรื่อง การจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไปครั้งที่ 1/2567 ที่เปิดประมูลไปเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนใน 2 คลัง ที่ จ.สุรินทร์ ข้างต้นนั้น ระบุ “คุณสมบัติ” ผู้เสนอซื้อมีสาระสำคัญอยู่ที่ ต้องเป็นผู้ประกอบกิจการค้าข้าว

และต้องไม่เป็นผู้ละทิ้งการเสนอซื้อ/ละทิ้งสัญญาซื้อขายข้าวสารกับทางราชการ ไม่เป็นผู้กระทำการใด ๆ ที่เป็นผลเสียหายแก่ทางราชการหรือการค้าระหว่างประเทศหรือโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรภายใต้นโยบายของรัฐบาลหรือเป็นผู้ถูกชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. และต้องไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า มีความสัมพันธ์กับนิติบุคคลหรือกรรมการบริษัท ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายตามที่กล่าวมาข้างต้น

ส่วนการพิจารณาของ คณะทำงานรับ-เปิดซองและต่อรองราคาข้าวในสต๊อกของรัฐ ที่ระบุไว้ใน TOR จะพิจารณาว่า 1) ผู้เสนอซื้อ (บริษัทวีเอท) มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนดไว้หรือไม่ และ 2) เสนอซื้อข้าวในราคาสูงสุดในแต่ละคลัง เมื่อพิจารณาผ่านทั้ง 2 ข้อแล้ว คณะทำงานจึงจะ “เจรจาต่อรอง” กับผู้เสนอซื้อราคาสูงสุดในแต่ละคลังให้เสนอราคาซื้อเพิ่มเติมจากราคาเดิม

เท่ากับว่าในขณะนี้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) จะต้องตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงตามคำสั่งของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้เกิด “ข้อชัดเจนและสิ้นสงสัย” ใน 2 เรื่อง คือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง มีคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ตามประกาศข้อ 2 ใน TOR ของ อคส. กับการพิจารณาผู้เสนอซื้อที่ดำเนินการพิจารณา

โดยคณะทำงานรับ-เปิดซองและต่อรองราคาข้าวในสต๊อกตามข้อ 7 ของ TOR หากบริษัท วีเอท เทรดดิ้ง มีคุณสมบัติครบถ้วนและผ่านการเจรจาต่อรองของ คณะทำงานรับ-เปิดซองแล้ว ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขายข้าวสารกับ อคส.ภายในเวลา 15 วันทำการต่อไป

ส่วนประเด็นข้อสงสัยที่ว่า ทำไมบริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง ถึงเสนอราคารับซื้อ “ข้าวเก่า” อายุการฝากเก็บ 10 ปี สูงถึง กก.ละ 19 บาท ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ปัจจุบันขายภายใน-ส่งออกอยู่ระหว่าง 20.50-22.50 บาท/กก. ส่วน “ข้าวนึ่ง” ที่มีตลาดส่งออกอยู่ที่ประเทศในกลุ่มแอฟริกาเฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 20.50 บาท นับเป็นความสามารถของผู้ซื้อที่สามารถ “ทำตลาดได้”

เพราะอย่าลืมว่าข้าวทั้ง 2 คลังนี้เคยเปิดประมูลมาก่อนหน้านี้แล้วในปี 2563 (ราคาประมูลต่ำกว่าราคา 19 บาท/กก.มาก) แต่ผู้ประมูลไม่มารับมอบข้าวตามสัญญาที่ทำไว้กับ อคส. ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ราคาข้าวตกลง “ต่ำกว่า” ราคาที่ประมูลได้ไปมาก ประกอบกับเกิดสถานการณ์โควิด-19

โดยการทิ้งสัญญาประมูลข้าวในปี 2563 ทำให้ อคส.มีภาวะค่าใช้จ่ายในการค่าคลัง บวกค่าบำรุงรักษาเดือนละ 380,000 บาท หรือปีละประมาณ 5 ล้านบาท ส่งผลให้ อคส.เสียค่าใช้จ่ายไปกับข้าวโครงการรับจำนำที่ฝากเก็บไว้ในคลังทั้ง 2 แห่งไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท