เลื่อนตัดสินคดีเหมืองทองอัคราเพราะอะไร กระทบใครบ้าง?

เปิดเหตุผลที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เลื่อนตัดสินคดีเหมืองทองอัครา ระหว่างรัฐบาลไทย-กับ คิงส์เกตฯ ยืดออกไปอีก 3 เดือน “เชื่อยังเจรจากันได้” กรมเหมืองเผยลดความเสี่ยงในการชนะหรือแพ้คดี ด้านอัคราฯ ยังเดินหน้า Gold Hub ตามแผน

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย กับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้น บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำอัครา คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้เลื่อนการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินออกไปอีก 3 เดือน หรือวันที่ 30 กันยายน 2567 จากเดิมที่ต้องตัดสินไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากอนุญาโตตุลาการเห็นว่าทั้ง 2 ฝ่าย ยังมีแนวโน้มการเจรจาที่ยังตกลงกันได้

ทั้งนี้ การเลื่อนคำตัดสินได้ส่งผลคือ 1.ทำให้คู่พิพาททั้ง 2 ฝ่ายมีเวลาในการเจรจาตกลงเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันให้สำเร็จ 2.ลดค่าใช้จ่ายสำหรับทนายของคู่พิพาททั้ง 2 ฝ่าย ในการต่อสู้คดีข้อพิพาท 3.หากเจรจาสำเร็จและยุติข้อพิพาทได้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการชนะหรือแพ้คดีจากการออกคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกมาในทิศทางใด อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าในเชิงลบ การเลื่อนคำตัดสิน ทำให้ข้อพิพาทดังกล่าวยืดเยื้อออกไปอีก

นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายระยะเวลาออกไปเพียง 3 เดือน สะท้อนให้เห็นว่าการเจรจามีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเจรจาอยู่บนหลักกฎหมายและข้อเท็จจริง โดยมุ่งหวังให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งไม่ได้กระทบในส่วนของการดำเนินกิจการของบริษัทแต่อย่างใด อัคราฯยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการให้ไทยเป็น Gold Hub ต่อไป

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานของอัครานับตั้งแต่ที่เหมืองแร่ทองคำชาตรีกลับมาเปิดเมื่อเดือนมีนาคม 2566 นั้น บริษัทได้ใช้งบประมาณพันกว่าล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมือง จนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567

ส่งผลให้บริษัทสามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ และจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4 พันล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การชำระค่าภาคหลวงแร่ และการจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่

ADVERTISMENT

ต่อจากนี้บริษัทจะเดินหน้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยให้สินค้าทองและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น ลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย