“ภูมิธรรม” ย้ำชัดไม่ล้มประมูลข้าว 10 ปี แม้ อคส.ตัดเอกชน 3 รายโยงคดีในอดีต

ข้าวรัฐ 10 ปี

“ภูมิธรรม” ย้ำชัดเจนยังไม่คิดยกเลิกประมูลข้าว 10 ปี แม้หลังตรวจพบเอกชน 3 ราย คุณสมบัติมีปัญหา ติดคดีเก่า พร้อมเดินหน้าเจรจาต่อรองราคาอีกรายที่เหลือ ขณะที่ อคส. เผยเตรียมตัดเอกชน 3 ราย และจะเจรจาต่อรองราคาทันที

วันที่ 12 กรกฎาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเป็นการทั่วไปครั้งที่ 1/2567 ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่าเบื้องต้นได้รับรายงานว่าคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หรือข้าว 10 ปี ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อข้าวทั้ง 6 รายเสร็จสิ้นแล้ว

และพบว่า มี 3 รายที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแล อคส. ได้สั่งการให้ อคส. ดำเนินการพิจารณาผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ครบถ้วน และต่อรองราคากับผู้ซื้อที่เสนอราคาสูงสุดในลำดับถัดไปในแต่ละคลังเพื่อให้ได้ข้อยุติต่อไป

“เมื่อรายที่ให้ราคาสูงสุดในแต่ละคลัง มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ก็ต้องให้โอกาสรายที่ 2 รายที่ 3 ที่เสนอราคาสูงสุดในแต่ละคลัง ได้มีโอกาสเข้ามาเจรจาต่อรอง โดยให้ยึดราคาที่ผู้เสนอราคาสูงสุดเคยให้ไว้ แต่จะได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่การต่อรองของ อคส. เพราะอยากให้การเปิดประมูลข้าวรอบนี้ จบลงได้ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะถือว่าขายได้ราคาดีมาก แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องล้มและเปิดประมูลใหม่” นายภูมิธรรมกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกชน 3 รายที่ถูกตัดสิทธิ ได้แก่ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์. การเกษตร จำกัด เนื่องจากผลการตรวจสอบเชิงลึก พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล

ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส. และถูก อคส. ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษามันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบ และรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่าและยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แม้ว่าทั้ง 3 ราย จะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันกัน

ADVERTISMENT

สำหรับ 6 บริษัท ที่ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.บริษัทวีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 64,010,216.32 บาท เฉลี่ย 19.070 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย 222,292,403.22 บาท เฉลี่ย 19.070 บาท/กก. 2.บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 60,482,800 บาท เฉลี่ย 18.019.11 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย 209,843,000 บาท เฉลี่ย 18.001.99 บาท/กก.

3.บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งเพียงคลังเดียว 56,088,888 บาท เฉลี่ย 16.710.07 บาท/กก. 4.บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 40,980,000 บาท เฉลี่ย 12.208.81 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย 182,046,000 บาท เฉลี่ย 15.617.35 บาท/กก.

ADVERTISMENT

5.บริษัท สหธัญ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งเพียงคลังเดียว 62,734,711.23 บาท เฉลี่ย 18.690 บาท/กก. และ 6.บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง 53,705,477.77 บาท เฉลี่ย 16 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย 186,506,473.60 บาท เฉลี่ย 16 บาท/กก.

ทั้งนี้ หลังจาก 3 รายถูกตัดสิทธิ ก็จะเหลือ 3 ราย ที่จะได้รับการเรียกมาเจรจาต่อรองราคา แยกเป็น คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 11,656 ตัน อันดับ 2 คือ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก. และอันดับ 3 คือ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ เสนอราคา 15.617.35 บาท/กก. และคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด ปริมาณ 3,356 ตัน อันดับ 2 คือ บริษัท สหธัญ เสนอราคา 18.690 บาท/กก. อันดับ 3 คือ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก.

เอกชน 3 รายถูกตัดชื่อ

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุ คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ ได้รายงานผลรายงานตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล 10 ปี ปริมาณ 15,000 ตัน จำนวน 6 ราย โดยพบว่ามี 3 รายยื่นซองประมูลให้ราคาข้าวดีสุด แต่หลังตรวจสอบเชิงลึกพบพฤติกรรมเชื่อมโยงคดีค้างเก่าที่อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครอง อาจถูกตัดสิทธิประมูลครั้งนี้แน่

ทั้งนี้ เตรียมทำให้คณะกรรมการต่อรองราคา จะเปิดต่อรองอีก 3 รายที่เหลือเพื่อให้ได้ราคาดี ยอมรับมีกระบวนการที่จะให้ล้มประมูลครั้งนี้ แต่ผู้บริหารพาณิชย์มั่นใจต้องเดินต่อให้จบไม่หวั่นถูกโจมตีดึงเป็นประเด็นการเมือง

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจว่าข่าวผลตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นประมูลข้าวสารค้างเก่ารัฐ 10 ปี จำนวน 15,000 ตัน ใน 6 รายที่ให้ทางองค์การคลังสินค้าหรือ อคส.ไปทำการตรวจสอบเชิงลึกทุกด้านทำไมถึงหลุดออกสู่สาธารณชนทั้งที่ควรเป็นความลับและควรดำเนินการให้จบทุกขั้นตอนเพื่อรายงานผลตรวจสอบให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทราบก่อน จึงถือได้ว่าน่าจะทำเป็นกระบวนการที่จะพยายามให้เกิดการล้มประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐในครั้งนี้ให้ได้และบริษัทที่ยื่นประมูลบางรายต้องการที่จะขอหลักประกันยื่นซองประมูลคืน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรายงานผลตรวจสอบหลุดออกมาโดยทั้ง 3 รายประกอบด้วย บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส. เอส. เอ็ม. อาร์. การเกษตร จำกัด ถือว่าคุณสมบัติหลังตรวจสอบเชิงลึก มีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส. และถูก อคส. ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษา มันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบ และรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่าและยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง

แม้บริษัททั้ง 3 ราย จะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันธ์กัน จึงเห็นว่าไม่สมควรที่จะเดินหน้าเจรจาต่อรองและควรตัดสิทธิ์การยื่นซองประมูลซื้อข้าวสารในครั้งนี้ มีผลให้บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ที่เสนอราคาประมูลมากสุดโดยให้ที่ 19.07 บาทต่อ กก. หรือกว่า 286 ล้านบาท จะมีการพิจารณาตัดสิทธิรวมไปถึงอีก 2 บริษัทด้วย ดังนั้น จึงมองว่าไม่สมควรที่จะเดินหน้าเจรจาต่อรองและควรตัดสิทธิยื่นซองประมูลในครั้งนี้

ทั้งนี้ โดยขั้นตอนต่อไปคงต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเมื่อคุณสมบัติไม่ผ่านและมีส่วนเกี่ยวพันคดีค้างเก่า โดยเมื่อถูกตัดสิทธิไปแล้วจะต้องคืนหลักประกันให้แต่ละรายหรือไม่ และความผิดมีหรือไม่ เพราะตามกรอบและหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์เมื่อเห็นว่าแต่ละรายเมื่อตรสจสอบแล้วคุณสมบัติไม่ผ่านแม้จะเป็นผู้เสนอราคาข้าวสารสูง แต่เมื่อผลตรวจสอบออกมาคุณสมบัติไม่ผ่านก็ต้องคืนหลักประกันให้ แต่ความผิดที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์จะไปดำเนินการตรวจสอบกันอีกครั้งต่อไป

“ยอมรับว่าการประมูลข้าวสารค้างเก่าครั้งนี้ แม้ผลจะออกมาว่ามีผู้สนใจไม่น้อยและยังให้ราคาข้าวสารในลอตนี้เกินกว่า 15-19 บาทต่อ กก. แสดงให้เห็นว่าข้าวสารจำนวนนี้ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่แม้จะเก็บไว้นานเกิน 10 ปี แต่กระทรวงพาณิชย์ไม่ต้องการปล่อยผ่าน จึงได้มีการตรวจสอบเชิงลึกจึงได้รู้ที่มาที่ไปของบริษัทที่เข้าร่วมประมูลว่ามีพฤติกรรมอย่างไร

อีกทั้งตั้งแต่ก่อนนำมาเปิดประมูลก็มีความพยายามของบางกลุ่มไม่ต้องการให้เปิดประมูลเพราะจะมีการเปรียบเทียบข้าวในสมัย คสช.ที่นำข้าวสารมาประมูลได้เพียงโลละ 5 บาทเท่านั้น แต่ทำไม่ตอนนี้ถึงได้ราคาถึงกว่า 15-19 บาทต่อ กก. ดังนั้น ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรจะเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะไม่มีการล้มประมูล แต่จะพยายามต่อรองราคาข้าวอีก 3 รายที่เหลือให้ได้ราคาดีที่สุดต่อไป” แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับ 3 รายที่เหลือและมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ อคส.จะดำเนินการต่อรองให้ได้ราคาที่ดีที่สุดเป็นประโยนช์ต่อประเทศชาตินั้น ได้แก่ บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์ บริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จากจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ให้ราคาเฉลี่ยข้าวสารค้างเก่า 10 ปี ตั้งแต่ 12 บาท กก. ขึ้นไป โดยการต่อรองราคาในครั้งนี้ จะให้ได้ราคาสูงกว่าที่ทั้ง 3 รายได้นำเสนอมาในช่วงแรก แต่จะได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่คณะกรรมการต่อรองราคาต่อไป

สำหรับ 3 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ ได้เสนอราคา ดังนี้ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 12.208.81 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 15.617.35 บาท/กก. บริษัท สหธัญ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งคลังเดียว เฉลี่ย 18.690 บาท/กก. และบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 16 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 16 บาท/กก.