
ด่วน สะพัดวงการ ‘ทรัพย์แสงทองไรซ์ -สหธัญ’ คว้าประมูลข้าว 10 ปี ราคา 15-16 บาท หลัง ‘ภูมิธรรม’ ไล่บี้ อคส. สรุปผลประมูลให้จบสัปดาห์นี้ ห้ามล้ม
วันที่ 18 กรกฎาคม 2567 แหล่งข่าวในวงการข้าวเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เรียกต่อรองราคาประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเป็นการทั่วไป หรือข้าว 10 ปี รอบใหม่หลังจาก 3 รายถูกตัดสิทธิ (บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์. การเกษตร จำกัด)
โดยเหลือต่อรอง 3 ราย แยกตามคลังคือ คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 11,656 ตัน อันดับ 2 คือ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก. และอันดับ 3 คือบริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ เสนอราคา 15.617.35 บาท/กก.
ส่วนคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด ปริมาณ 3,356 ตัน มี อันดับ 2 คือ บริษัท สหธัญ เสนอราคา 18.690 บาท/กก. อันดับ 3 คือ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก.
“หลังจากต่อรองผลปรากฏว่ามีผู้ที่ได้รับการเรียกไปทำสัญญาคือทรัพย์แสงทอง ความประมูลโกดังหลังใหญ่กิตติชัย หลัง 2 ทั้งหมด ราคา 15-16 บาท/กก. เหตุที่ บี เอ็น เค ผู้เสนอสูงสุด 16 บาทสละสิทธิไป เพราะทุนจดทะเบียน 1 ล้าน และเพิ่งจดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อมีนาคม-เมษายนนี้ที่ผ่านมา ส่วนอีกรายที่ชนะคือ บริษัท สหธัญ คว้าโกดังหลังเล็กไป และตกลงทำสัญญา จากนั้น อคส.ก็ได้มีการคืนเงินค้ำประกันซองให้กับผู้เสนอราคาที่เหลือแล้ว”
ก่อนหน้านี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเป็นการทั่วไปครั้งที่ 1/2567 ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่าเบื้องต้นได้รับรายงานว่าคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หรือข้าว 10 ปี ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อข้าวทั้ง 6 รายเสร็จสิ้นแล้ว และพบว่า มี 3 รายที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ
ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแล อคส. ได้สั่งการให้ อคส.ดำเนินการพิจารณาผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ครบถ้วน และต่อรองราคากับผู้ซื้อที่เสนอราคาสูงสุดในลำดับถัดไปในแต่ละคลังเพื่อให้ได้ข้อยุติภายในสัปดาห์นี้ โดยจะไม่มีการล้มประมูลแน่นอน เพราะช่วงเวลานี้ตลาดไม่มีข้าว และราคาที่ได้จะสูง หากจะล้มแลัวไปเริ่มต้นประมูลใหม่จะล่าช้าออกไปอีก กว่าจะรับมอบกินเวลานาน อาจจะส่งผลกระทบกับผลผลิตข้าวนาปีรอบใหม่ที่จะออกมา”
สำหรับเอกชน 3 รายที่ถูกตัดสิทธิก็นับว่าน่าเสียดายทั้ง 3 ราย จะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันธ์กัน แต่ผลการตรวจสอบเชิงลึก พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส. อย่างกรณีบริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด มีความเกี่ยวข้องกับกรณีของบริษัทสวัสดิ์ไพบูลย์ ซึ่งเคยเป็นผู้รับฝากเก็บมันเส้นในโครงการจำนำของรัฐบาล และประสบปัญหาสินค้าหาย ส่วนบริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ที่มีคดีกับ อคส.โดยตรง แต่ในยุคของรัฐบาล คสช.ได้มีการตรวจสอบบริษัทลูกของธนสรร ซึ่งรับฝากเก็บข้าวเป็นข้าวคุณภาพเกรด C จึงยังมีคดีความในเรื่องนี้อยู่ และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์. การเกษตร จำกัด เนื่องจากผลการตรวจสอบเชิงลึก พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส.