
เป้าหมายของการพัฒนาประเทศ ไม่เพียงต้องดึงอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาลงทุน ให้ได้ Knowhow แต่ยังคงจำเป็นที่ต่อยอดอุตสาหกรรมจากพื้นฐานเดิม “เกษตร” ให้เป็น S-Curve สู่ “เกษตรอุตสาหกรรม” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สอดรับกับเป้าหมายรัฐบาลในการเพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่าใน 4 ปี
ปั้น Smart Farmer
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) อธิบายว่า “อุตสาหกรรมเกษตร” เป็นการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ทั้งประเภทอาหาร (Food) และไม่ใช่อาหาร (Nonfood) ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตร โดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องจักร มาช่วยในกระบวนการผลิต ควบคุมคุณภาพ และการวิจัยพัฒนา
ส่วน “เกษตรอุตสาหกรรม” คือการทำการเกษตรที่เน้นการผลิตในปริมาณมาก เพื่อการส่งออก หรือส่งเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม มีการนำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานคนและสัตว์ มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM หรือ กสอ.) กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรม กรมมีแผนว่าจะใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการเกษตรของไทย ให้เป็น Smart Farmer หรือ “นักธุรกิจเกษตรสมัยใหม่” ด้วยการกำหนดรูปแบบ แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้แก่ผลผลิตการเกษตร การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำมาช่วยแก้ปัญหาการทำเกษตรอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ยังจำเป็นที่จะต้องสร้างมาตรฐานการผลิตและแปรรูปสินค้าทางการเกษตร สร้างตลาดใหม่เป็นศูนย์รวมการกระจายสินค้าทางการเกษตร จากนั้นจะต้องสร้างธุรกิจใหม่จากการเกษตร เช่น การนำของเสียจากธุรกิจเกษตรหนึ่งไปสร้างมูลค่ากับอีกธุรกิจเกษตร เพื่อผลประโยชน์ที่สูงสุดนำกลับสู่เกษตรกรในรูปแบบของการปันผลจากผลกำไรสุดท้าย ที่ได้จากการแปรรูปจำหน่ายในระบบอุตสาหกรรมเกษตรที่สมบูรณ์แบบ
เป้าหมายจึงถูกพุ่งไปที่ภาคการผลิต ผู้ประกอบการที่จากเดิมส่งออกในรูปแบบของสด จะต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นการแปรรูป แต่จะแปรรูปอย่างไรให้ถูกใจตลาด ถูกใจเทรนด์สมัยใหม่ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้ที่ผ่านมา กสอ.จะมีโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ มีการเปิดโครงการฝึกอบรมกันทุกปี ในผลลัพธ์ที่ควรจะได้คือการเกิดขึ้นของเหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่มีโปรดักต์ใหม่ ๆ กลับมาติดกับดักทั้งแวดล้อมภายในและภายนอก ซึ่งหมายถึง “เงินทุน” และ “สภาพเศรษฐกิจ” รวมถึง “ดิน ฟ้า อากาศ” และต้องไม่ลืมว่าเมื่อโรงงานแปรรูปต้องพึ่งพาผลผลิตจากชาวสวน นั่นหมายถึง การที่ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงกับต้นทุนการผลิตสูง และผลผลิตที่มีราคาไม่แน่นอน ขาดการเชื่อมโยงในลักษณะคลัสเตอร์
ชูวัตถุดิบแต่ละท้องถิ่นนำร่อง
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหาร (Agriculture & Food Hub) ได้ สิ่งแรกต้องยกระดับภาคการเกษตร การดึงเอาวัตถุดิบของแต่ละท้องถิ่นขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ขยายวงออกไป จะเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จได้มากที่สุด เช่น การนำโกโก้ ในพื้นที่ภาคใต้ปั้นให้เป็น “ไทยโกโก้ฮับ” ของอาเซียน แต่การจะเดินคนเดียวก็คงยาก การดึงเจ้าของแบรนด์ “ภราดัย” ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โกโก้และคราฟต์ช็อกโกแลตสัญชาติไทย การันตีรางวัลเหรียญทองระดับโลก จากเวที Academy of Chocolate Award 2021 จึงเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เป้าหมายสำเร็จ เช่นเดียวกับพืชผลท้องถิ่นชนิดอื่น
ความจำเป็นที่ต้องดึง “สภาเกษตรกรแห่งชาติ” เข้ามาช่วยขับเคลื่อน ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อทำให้เกษตรกรไปสู่การเป็นเกษตรอุตสาหกรรม ที่สามารถแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในระยะแรก ไม่ใช่แค่โกโก้ แต่จะรวมไปถึงไผ่ สมุนไพร ชีวมวล พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ในอนาคต รวมถึงส่งเสริมการนำวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตรมาใช้เป็นพลังงาทดแทน เพื่อเข้าสู่การใช้พลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ไปสู่การจัดทำคาร์บอนเครดิต เพื่อขายคาร์บอนเครดิตสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มเกษตรกรที่คาดว่าจะมากถึง 8,000 ล้านบาท
รวมถึงการบริหารจัดการด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยีการผลิต การควบคุมคุณภาพ การตรวจวัดมาตรฐาน ไปจนถึงการจัดหาตลาดทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ และออฟไลน์ผ่านเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศ รวมทั้งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อให้เกษตรอุตสาหกรรมของชุมชน ผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการ
ปลดล็อก “เงินทุน”
การหาตัวช่วยที่เป็นเงินทุน “กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ” ภายใต้การบริหารของกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2567 มีกรอบวงเงิน 1,900 ล้านบาท หน้าที่ของกองทุนยังมุ่งสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจ ไม่เลือกว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด โดยให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเสริมสภาพคล่อง โดยมีหลักประกันที่ผ่อนปรนและหลากหลายมากกว่าสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังให้นำหลักประกันทางธุรกิจ รวมถึงใบรับรองจากหน่วยงานเครือข่าย และการได้รับรางวัล SMEs ดีเด่น มาใช้เป็นหลักประกันได้อีกด้วย
แต่ที่ผ่านมาเงื่อนไขหลายอย่างทำให้ SMEs ไม่ผ่านเกณฑ์ แม้จะมีการปรับเงื่อนไขมาตลอด รวมถึงเพิ่มโอกาสสำหรับกลุ่มที่เป็น Green หรือ “โครงการสินเชื่อลดโลกร้อน” เพื่อขยายให้ผู้ประกอบการได้มีตัวเลือกในการขอใช้เงินทุน แต่ด้วยกองทุนเป็นของรัฐ แน่นอนว่าการพินิจพิจารณาย่อมใช้เวลาเนิ่นนาน จนบางครั้งส่งผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันไปพึ่งพา “สถาบันการเงิน” แทน
“นายพิชิต มิทราวงศ์” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) กล่าวว่า สินเชื่อแบงก์แม้จะมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างมาก แต่มีความหลากหลายโปรดักต์ที่ตรงกับแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ เช่น “สินเชื่อ Green” ที่ขณะนี้มีผู้ประกอบการส่งออกในอุตสาหกรรมเกษตร อาหารแปรรูปเริ่มให้ความสนใจ เพราะกติกาโลกกำลังบีบให้ต้องปรับตัว เร็ว ๆ นี้จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นี่จะเป็นอีกเครื่องมือช่วยภาคอุตสาหกรรม
และสุดท้าย สำนักงานนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมุ่งพัฒนาเชิงพื้นที่อยู่แล้ว โดยให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรเช่นกัน แต่จะเป็นขั้นสูงไปถึงจุดที่เรียกว่า “อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ” ด้วยประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตร ส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางการวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่หลักสำหรับการปลูกอ้อย และมีโครงการแปรรูปอ้อยและมันสำปะหลังเป็นโครงการสำคัญอีกด้วย