ทำไมควรรื้อแผน PDP 2024 เอกชน-นักวิชาการ รุมสับ RE โรงไฟฟ้าก๊าซ

PDP

การจัดทำ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) ที่กำลังประชาพิจารณ์ ซึ่งจะเป็นฉบับใหม่ที่จะมาแทนแผน PDP 2018 (REV.1) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่า มีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะกำหนดให้มีการ “เพิ่ม” สัดส่วนพลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy : RE) จากเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาดตามแผนเดิมกำหนด 36% เป็น 51% ภายในปี 2037 (ซึ่งปัจจุบันไทยมี RE 22%)

นับเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญ สอดรับกับเทรนด์โลกที่มุ่งสู่การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคต

ทว่าในเวทีสัมมนา “PDP 2024 เร่ง หรือ รั้งพาไทยไปสู่เป้าพลังงานสะอาด” ที่จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลับสรุปไปในทางตรงกันข้ามว่า “ร่างแผน PDP 2024” จะเป็นตัว “รั้ง” มากกว่าจะช่วยเร่งให้ไทยรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจและความสามารถทางการแข่งขันรวมถึงการบรรลุเป้าพลังงานสะอาด

สะกิดจุดอ่อน PDP 2024

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน TDRI ผู้นำเสนอ บทวิเคราะห์ PDP 2024 ระบุว่า 1.จริงอยู่ที่ร่างแผน PDP 2024 แตกต่างจากฉบับ 2018 และมีความก้าวหน้ามากขึ้นด้าน RE ที่วางเป้าหมาย 51% ในปี 2037 แต่จริง ๆ ควรผลักดันให้เร็วกว่าระยะเวลาที่วางเอาไว้ เพราะในปี 2037 หลายภาคส่วนต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่เร็วกว่านี้ค่อนข้างมาก

เห็นได้จากปี 2026 จะเริ่มบังคับใช้มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ซึ่งมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกแล้ว หากไทยช้า มูลค่าการส่งออกจะลดลง เช่น หากลดไปเพียง 10% จากมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 4 ล้านล้านบาท ในปี 2564 จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ 400,000 ล้านบาท

การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในร่างแผน PDP 2024 นั้น “ไม่อัพเดต” เพราะใช้ตัวเลขของเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทำให้การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า “สูงเกินจริง” และภายในแผนยังระบุว่า จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 8 แห่ง รวมกำลังการผลิตรวม 6,300 เมกะวัตต์ (MW) ทั้งที่ปัจจุบันไทยมีโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ ที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยประมาณ “ครึ่งหนึ่ง” จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหมด

ADVERTISMENT

ทำให้ 16 ปีที่ผ่านมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องเสียค่าความพร้อมจ่าย (AP) ประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งสุดท้ายค่าใช้จ่ายนี้จะถูกส่งผ่านมาเป็นค่าไฟที่ประชาชนต้องแบกรับ หากยังใช้ร่างแผน PDP ฉบับนี้แล้ว ประเทศไทยจะต้องเตรียมนำเข้า LNG สูงขึ้น สร้างเทอร์มินอลใหม่ ประกอบกับประเด็นการปรับหลักเกณฑ์โอกาสการเกิดไฟดับ (LOLE) ที่ 0.7 วันต่อปี

ในร่างแผน PDP ฉบับใหม่ ที่นำมาใช้แทน “เกณฑ์ปริมาณไฟฟ้าสำรอง” นั้นถือว่า “ต่ำเกินไป” ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการสำรองไฟฟ้าเพิ่ม ทั้งหมดล้วนกระทบต้นทุนค่าไฟแพงขึ้น

ADVERTISMENT

PDP

ส่องแผน RE 51%

2.การเพิ่มพลังงานหมุนเวียน (RE) ถึง 51% ในจำนวนนี้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ 16% แสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ 1% พลังน้ำในประเทศ 2% พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ 16% พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) 1% และไทยมีแผนรับซื้อไฟฟ้าพลังงานน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านอีก 15% เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำปัจจุบันกำลังจะหมดอายุสัญญา ราคาที่รับซื้ออยู่ตอนนี้ค่อนข้างถูก

คำถามก็คือ ทำไมไม่ต่อสัญญาเดิม แต่ไปสนับสนุนให้สร้างเขื่อนใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งเป็นการทำลายระบบนิเวศใหม่และราคารับซื้อไฟแพงขึ้น 20 สต./กิโลวัตต์

ในอีกด้านยังพบว่า มีความพยายามเพิ่ม “พลังงานไฮโดรเจน” ที่ยังไม่ระบุชัดเจนว่าเป็น ไฮโดรเจนสีเขียว เพิ่มขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีจะมีผลทำให้ต้นทุนค่าไฟแพงขึ้น โดยหากใช้ไฮโดรเจนสีเขียวตามแผน PDP 2024 ที่กำหนดสัดส่วน 5% ในปี 2030 จะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 9% และมีผลให้ค่าไฟปรับเพิ่มขึ้น 1.6-1.7% แต่หากยิ่งใช้ตามแผนของ กฟผ. ที่กำหนดสัดส่วน 20% ในปี 2040 จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 28% ค่าไฟเพิ่มขึ้น 5.4%

“แผน PDP 2024 สามารถทำให้ค่าไฟลดลงกว่านี้ได้อีก หากมีการใช้ไฟฟ้าพลังสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์บวกแบตเตอรี่ ซึ่งมีต้นทุนการผลิตถูกลงตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น แต่กลับมีการประเมิน Energy Technology ต่ำเกินไป นอกจากนั้นยังจำกัดเป้าหมาย Smart Microgrid (ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดเล็ก) และ Demand Response (การตอบสนองต่อมาตรการเพิ่มศักยภาพในการใช้ไฟ) ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายและช่วยเสริมเสถียรภาพการใช้ RE” ดร.อารีพรกล่าว

เลิกระบบผู้ซื้อรายเดียว-เปิดเสรี

ขณะที่ 3) เสนอว่า รัฐบาลควรเลิกระบบรัฐผูกขาดการเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Enhanced Single Buyer) ให้เป็นการเปิดเสรีการซื้อขายไฟ พร้อมทั้งส่งเสริมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนด้วย เพราะตอนนี้โซลาร์ภาคประชาชนไม่มีในร่างแผน PDP และไม่มีการพูดคุยถึงเรื่อง Net Metering หรือการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าต่อหน่วยที่ 2.20 บาทให้สูงขึ้น และการให้เอกชนสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง

โดยการเปิดสิทธิให้เอกชนสามารถเชื่อมต่อระบบสายส่งไฟฟ้าของภาครัฐ (Third Party Access หรือ TPA) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการเร่งการเพิ่มไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้ประเทศไทย และทำให้ราคาค่าไฟเป็นไปตามกลไกตลาด

เอกชนรุมค้าน-จี้เปิดข้อมูล

ต่อมาในงานเสวนา “PDP 2024 ปรับอย่างไร เร่งไทยสู่เป้าพลังงานสะอาด” มีการระดมความเห็นจาก นายดอน ทยาทาน อุปนายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน, นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ บ.ป่าสาละ จำกัด ดำเนินการเสวนาโดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI ได้มีข้อสังเกตหลายด้าน

โดยนายดอนกล่าวสรุปว่า การทำแผน PDP ควรย้อนไปดู พ .ร.บ.กำกับกิจการพลังงาน หลายเรื่องโดยเฉพาะวัตถุประสงค์หลักกฎหมาย คือ การปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงานและให้มีส่วนร่วมในการทำแผน เน้นการใช้ประโยชน์พลังงานหมุนเวียน ยั่งยืน ลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ

“คอนเซ็ปต์การทำ PDP รัฐมีข้อมูลทุกอย่างอยู่แล้ว หน้าที่ของรัฐต้องเอาข้อมูลมาเปิดเผยอย่างโปร่งใส เช่น ข้อมูล ณ ตอนนี้มีโรงไฟฟ้าเอกชน-รัฐเท่าไร มีดีมานด์รัฐ-เอกชนเท่าไร ต้องเปิดเผย ต้องโปร่งใส และต้องเปิดให้เกิดการมีส่วนร่วม กำหนดหลักเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รัฐไม่มีทางรู้ทั้งหมด ต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาแชร์ไอเดียกัน แทนที่จะโฟกัสกรุ๊ป” นายดอนกล่าว

ส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ให้มี โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เพราะเรื่องความปลอดภัยยังไม่ได้รับการพิสูจน์ โอกาสจะเกิดอิมแพ็กต์ขนาดไหน “ยังไม่ทราบ” เพราะยังไม่มีประเทศไหนที่ผลิตโดยระบบ SMR ให้เห็นแบบเป็นจริงเป็นจัง หากจะทำอาจจะทำให้เล็กกว่านั้นและให้ไกลชุมชน จำกัดความเสียหาย

ไส้ใน RE 51% แฝง

ขณะที่นางสาวสฤณีกล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อนทำแผน PDP แบบนี้คงฮือฮา “เพราะค่อนข้างก้าวหน้ามาก” แต่นี่คือปี 2024 “ไม่ทันกาลแล้ว” เพราะเราอยู่ในโลก COP 30 ที่ทุกประเทศจะต้องประกาศรับมือ Net Zero ต้องเข้มขึ้น และเป็นที่น่าสังเกตว่า แผน PDP ฉบับนี้ผูกพัน 13 ปี ทำไมไปจบปลายแผนปี 2037 เท่ากับแผนเดิม แทนที่จะจบในปี 2040

“แม้ว่าข้อดีของ PDP จะอยู่ที่หลักการมุ่งสู่พลังงานสะอาด เหมือนกับคำว่า นางฟ้า อยู่ในหลักการ ซาตาน อยู่ในรายละเอียด เพราะในแผนไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายได้ว่า ทำไมต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติมากถึง 6,300 MW กำลังไฟฟ้าสำรองจะพุ่งจาก 50,000 MW ไปเป็น 100,000 MW ถึงเราจะพร้อมจ่ายค่าความพร้อมจ่าย แต่เราก็ไม่ควรจะต้องจ่ายใช่ไหม และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด 51% ดูเป็นไฟฟ้าพลังน้ำต่างประเทศ 15% ตัดออกไปจะเหลือ RE จริงแค่ 35%

ถือว่าก็ยังเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่ดี และเขื่อนใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแม่น้ำโขง ก็มีประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์อีก และลาวก็ให้จีนเข้ามาควบคุมระบบส่งไฟฟ้าในลาว เขื่อนใหม่สร้างยากกว่า ต้นทุนก็แพงกว่าไฟฟ้าโซลาร์+แบต เราต้องส่งเสริมโซลาร์ตอบโจทย์เรื่องต้นทุน แต่ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานเพิ่ม” นส.สฤณีกล่าว

ไฮไลต์สำคัญมีการพูดถึงกระบวนการจัดทำ PDP ที่ถึงจะไม่ใช่กฎหมาย แต่ควรต้องเปิดรับฟังความเห็นเป็นวงกว้าง เพราะเป็นแผนสำคัญ ทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า แผน PDP ยังไม่เสร็จ แต่เอกชนสามารถประกาศแผนการลงทุนให้นักลงทุนรับทราบได้อย่างมั่นใจ ขณะที่ประชาชนแทบจะไม่รู้เรื่อง PDP เลย

“การลงทุนเรื่องแอลเอ็นจีเทอร์มินอล แห่งที่ 3 ของ ปตท. เรามองว่าตอนนี้แค่ 2 ที่ ยังใช้แค่ 70% แล้วแอลเอ็นจีหลัก ๆ คือ ผลิตไฟฟ้า สิ่งเดียวที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า แอลฯ 3 คือ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มตามแผน PDP 6,300 MW ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนสูงและมีจุดยังแฝงอยู่ หากมีการปรับ แผนการลงทุนก็ต้องเปลี่ยนแผน ซึ่งแผนพีดีพีอยู่ระหว่างรับฟังความเห็น แผนแอลเอ็นจีเทอร์มินอลก็ควรต้องชะลอ”

ติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก

นายอาทิตย์ เวชกิจ กล่าวว่า การทำ PDP ติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก เพราะในการจัดการพลังงานทั่วโลก เป้าหมายหลักคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Eficialcy) ในต่างประเทศก่อนจะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ต้องประหยัดพลังงานก่อน ส่วนเราแผน PDP กับ GDP ของไทย ไม่ได้ยกเรื่องการอนุรักษ์พลังงานมาพูดถึงก่อน

“แผนอนุรักษ์เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นกระดุมเม็ดแรก เทียบกับประเทศอื่นค่อยวาง PDP ซึ่งเมื่อเริ่มผิด การคาดการณ์ความต้องการใช้ (Demand Forcase) ผิดแน่ เพราะไม่คุยแผนอนุรักษ์ และไม่เคยมีฐานข้อมูลด้านพลังงานในส่วนของภาคอุตสาหกรรม เราไม่ได้ตั้งต้นว่า อยากใช้ไฟเยอะ แต่อยากประหยัดลดต้นทุนก่อน ทาง ส.อ.ท.ทำแผนประหยัดใช้โมเดลเดียวกัน แต่เราคิดสมมุติฐานโดยเอาเรื่องนี้ ต้องมี RE มากกว่า 80%”

ประเด็นถัดมา คือ การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน RE แต่กลับมีกฎระเบียบคุม RE เช่น เรื่องโซลาร์ไปผูกกับ ใบ รง.4 ซึ่ง รง.4 ไม่ได้ผิด แต่คุมเรื่องสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และไปผูกกับผังเมือง ต้องเป็นพื้นที่สีม่วงจึงจะติดตั้งโซลาร์ได้ ทำให้เรามีพื้นที่ติดพลังงานหมุนเวียนได้เหลือแค่นิดเดียว และต้องสร้างในพื้นที่อื่นและส่งไปให้คนใช้ ซึ่งต้องเสียค่าขนส่งก็ไปไม่รอดแล้ว และไทยไม่ทำระบบโครงสร้างพื้นฐานให้กับ RE เลย มีแค่โครงการนำร่อง ทั้งสมาร์ทกริด ไมโครกริด หรือเสริมให้ผู้ผลิตไฟใช้เอง (Prosumer) ได้เกิด

สุดท้ายเรื่องการนำเอาไฮโดรเจนมาใช้ โดยไม่บอกว่า ไฮโดรเจนสีอะไร หากใช้ไฮโดรเจนสีน้ำตาล (บราวน์ไฮโดรเจน) ตั้งคำถามว่าจะทำไปเพื่ออะไร การที่จะใส่ในแผนโดยบอกว่า จะลดคาร์บอนให้กับโรงไฟฟ้าเก่าโดยแปลงใช้ไฮโดรเจนไปเผามาผลิตไฟฟ้าแบบนั้น ต้นทุนสูง ค่าไฟแพง ดังนั้น ควรเอาไฮโดรเจนมาเก็บไฟฟ้าจะดีกว่า และควรส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอน CCUS ของ ปตท.สผ. แต่ไม่ใช่ไปดักที่โรงไฟฟ้าฟอสซิล เพราะค่าดักกับค่าเอาไปฝัง อย่างน้อย 1 บาท/กิโลวัตต์อาวร์ แค่นี้ก็ไม่มีทางเกิดแล้ว