
สัมภาษณ์
ภาพธุรกิจระหว่างประเทศ (Global) ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่วางงบประมาณการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2567-2571) ไว้ที่ 8,007 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของงบฯลงทุนทั้งหมด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นรุกสู่ตลาดสากล
“นายดิษทัต ปันยารชุน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้เพิ่งจะวางแนวทางการขยายธุรกิจ Global ปีนี้จนถึง 2030 (2573) ซึ่งประกอบด้วย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีน
กัมพูชา บ้านหลังที่ 2
“เรื่อง Global เราให้ความสำคัญกับ Second Home Base โฟกัสที่กัมพูชา ซึ่งทำรายได้มาเป็นอันดับ 1 แต่ธุรกิจที่ OR ทำ จะต้องสอดคล้องกับธุรกิจกลุ่ม ปตท. ในอนาคต 1-2 ปีจากนี้ กำลังการกลั่นน้ำมันของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เพราะโรงกลั่นไทยออยล์ มีการผลิตเพิ่มจาก 260,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรล/วัน ฉะนั้นก็มีกำลังผลิตเพิ่ม 140,000 บาร์เรลต่อวัน ดังนั้น OR รับหน้าที่จำหน่ายต้องจัดหาตลาดรองรับ โดยตลาดที่สำคัญ คือ ประเทศที่มีศักยภาพในการนำเข้าน้ำมัน นั่นคือ กัมพูชา”
เหตุผลที่โฟกัสกัมพูชา เพราะเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน และปัจจุบันในกัมพูชามีธุรกิจเหมือนไทย คือมีทั้งโมบิลิตี้ ไลฟ์สไตล์ มีปั๊มน้ำมัน 170 แห่ง คาเฟ่อเมซอน 200 กว่าแห่ง เซเว่นฯมี 50 สาขา เติบโตดีมาก ฉะนั้น น้ำมันจะเป็นตลาดหนึ่งที่เราโฟกัส
เร่งเครื่องตลาด JET กัมพูชา
“เม็ดเงินที่เราจะลงทุนโกลบอล 8,000 ล้านบาท จะให้น้ำหนักกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในการลงทุนสร้างคลังน้ำมันที่กัมพูชา โดยขณะนี้ทางเอ็มดีของกัมพูชาอยู่ระหว่างการหาพื้นที่สร้างคลังน้ำมันเพิ่ม ซึ่งเป้าหมายเพื่อให้สอดรับกำลังการกลั่นไทยออยล์ที่จะเพิ่มขึ้น”
แต่เดิม OR มีคลังเก่าอายุ 15-20 ปีอยู่ที่เรียม สีหนุวิลล์ ใช้เก็บดีเซลและแก๊สโซลีน ซัพพลายให้ PTT Station 170 สาขา แต่ตอนนี้เราต้องการขยายตลาดน้ำมัน Aviation เพราะตลาดน้ำมันเครื่องบิน JET A1 ดีมาก และที่สำคัญการลงทุนเรื่องนี้ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขัน เพราะปัจจุบันเราเช่าคลังส่วนนี้ และคลังเดิมที่มีอายุนานมากนั้น เรือที่มาเทียบไม่ได้ใช้เรือกินน้ำลึกมาก 3 ล้านลิตร ไม่ตอบโจทย์การแข่งขัน อนาคตอยากให้เรือไซซ์ 10,000 ตันเข้ามา เพื่อลดต้นทุนลง และรับการเจริญเติบโตของเน็ตเวิร์กและลดต้นทุนให้ได้
ตลาดน้ำมันที่กัมพูชามี 2 ส่วน คือ ขายใน PTT Station ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือ ขายสู่ลูกค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเรื่อง Aviation ที่เราทำร่วมกับ PAF คือ พนมเปญ เอวิเอชั่น ฟูเอล เซอร์วิส เพื่อขยายน้ำมันเครื่องบินเข้าไป ปัจจุบันเราซัพพลายน้ำมันเครื่องบิน JET A1 เข้ากัมพูชา 50% และในอนาคตจะมีสนามบินใหม่จะเปิดประมาณต้นปี 2568
บุก LPG อุตฯเวียดนาม
ขณะที่การลงทุนในเวียดนาม เราได้จัดตั้งบริษัท ORVN หรือ โออาร์เวียดนาม จำกัด ร่วมกับพันธมิตร โดยเวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตดีมาก แต่เราบุกเชิงโมบิลิตี้ไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะไปตั้ง PTT Station เพราะที่นั่นยังไม่เป็นฟรีมาร์เก็ต (เป็นปั๊มโลคอล) เราจึงมุ่งสู่ธุรกิจกาแฟ คือ เข้าไปลงทุนคาเฟ่อเมซอนร่วมกับกลุ่ม CRG มี 25 สาขา แต่ล่าสุดเห็นโอกาสเรื่อง LPG
“หากมองสถิติจีดีพีเวียดนามเติบโตดี นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุน จึงต้องมองถึงโอกาสขยายการลงทุนด้านอื่น เช่น การศึกษาโอกาสการลงทุน LPG เพราะเวียดนามยังเป็นตลาดที่ต้องนำเข้า LPG ปัจจุบันกลุ่ม ปตท.มี PTT Trading ที่เข้านำเข้าไป แต่เรามองโอกาสทำตลาด โดยจะขอไลเซนส์ลงทุน LPG ตลาดอุตสาหกรรม โดยร่วมกับ Trading
หากเราและ Trading ส่งไม้กันให้ดี Synergy กัน เขาเก่งเรื่องการหาสินค้าต้นทุนดีแข่งขันได้ OR เชี่ยวชาญเรื่องตลาด หากลงทุนคลังในเวลาที่เหมาะสม โดยอาจจะไป Joint Venture โลคอลพาร์ตเนอร์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความได้เปรียบในการทำธุรกิจ เพราะอาจจะนำเข้ามาเก็บไว้ในคลังก่อนขาย”
ส่องแผนขยับ-ปรับย้ายการลงทุน
ซีอีโอโออาร์เล่าต่อว่า เมื่อ 5 ปีก่อนเราโฟกัสขยายการลงทุนไปยังเมียนมา มีทั้งคลังและรีเทล แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องทบทวน ซึ่งจริง ๆ เรามองเมียนมามีศักยภาพและมีความคุ้นชินกับคนไทยเป็นเป้าหมาย เมื่อไรที่เมียนมามีความพร้อม ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสของโออาร์
ส่วนที่ สปป.ลาว จากปัญหาค่าเงินกีบ ตอนนี้เรื่อง FX จะรุนแรงนิดหนึ่ง เราประคองธุรกิจไปก่อนโดยมีการหารายได้เสริมจากต่างประเทศเข้าไปด้วยการส่งออกเมล็ดกาแฟ สปป.ลาวยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เพราะมีสัมพันธ์ที่ดีกับจีน นักลงทุนจีนเข้าไปจำนวนมาก เป็นโอกาสดีในอนาคต
ส่วนตลาดฟิลิปปินส์การแข่งขันค่อนข้างสูง ทั้ง PTT Station แต่เรามีสินค้าหลายตัว มีโอกาสทำเรื่องตลาดอุตสาหกรรม น้ำมันเครื่องบินจะมาช่วยทำให้ปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย
และตลาดจีนอยู่ระหว่างการรีวิสิต (ทบทวน) ทั้งหมดเพื่อปรับกลยุทธ์ เพราะที่จีนมีการแข่งขันสูง เดิมมีโออาร์ไชน่าดำเนินการตัวน้ำมันเครื่อง ตอนนี้เราหาอิมพอร์ตเตอร์ไปดำเนินการให้ ส่วนคาเฟ่อเมซอนคงปรับเป็นเหมือนแฟรนไชส์ทั่วไป ไม่โอเปอเรตเอง เป้าปีนี้จะรีวิสิตเพื่อหาพาร์ตเนอร์ใหม่ที่มีความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจต่อไป
กลยุทธ์ในการบุก Global
ซีอีโอโออาร์เล่าว่า เคล็บลับก่อนที่จะวางกลยุทธ์โออาร์ ต้องรู้ว่าเราได้เปรียบอะไร ต้องยอมรับว่าการแข่งขันในต่างประเทศแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไปคนละรูปแบบ
การเพิ่มมาร์เก็ตแชร์เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ แต่ไม่ใช่เราจำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งในประเทศตลอดเวลา
“ซีอีโอมีหน้าที่สำคัญหนึ่งในการแสวงหาพันธมิตรที่ดี ไมนด์เซตของคนโออาร์นอกจากการดำเนินธุรกิจ เรายังให้การสนับสนุนประชาชนในประเทศที่เราไปลงทุน เพราะถ้าให้โออาร์มาทำโดยไม่มีโลคอลพาร์ตเนอร์จะออกมาสวยงามไม่ได้แน่นอน คีย์ซักเซสของเราคือพาร์ตเนอร์ชิป เราจะต้องไปคัดกรองพาร์ตเนอร์ที่เข้มแข็ง โปร่งใส และสามารถเข้าถึงประสานงานกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในประเทศนั้น ๆ ได้ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน”
“ความสำเร็จไม่ได้มาง่ายอย่างที่เห็น เรารับไม้จากรุ่นสู่รุ่น เราต้องให้เครดิตกับพวกพี่ ๆ เค้าพยายามลองผิดลองถูก อย่าง PTT Lao 1993 ซึ่ง 10 ปีแรกต้องทำองค์กรให้เข้มแข็งก่อน ก็ซัฟเฟอร์มาพอสมควร เราก็รับไม้มาจากพี่ ๆ ในกลุ่ม ปตท. ส่งให้กับน้อง ๆ ล้มบ้าง ลุกบ้าง Good Year ก็มี Bad Year ก็มี ไม่ได้มีธุรกิจสวยหรู
ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เราเข้มแข็ง ผมทำธุรกิจต่างประเทศตั้งแต่เด็ก บอกได้เลยว่าไม่ง่าย อยู่ต่างประเทศ ทำธุรกิจเรายากกว่าเท่าหนึ่ง แต่พี่ ๆ เรามองเห็นโอกาสเขาก็เข้ามา และเป็นหน้าเป็นตาเป็นแบรนด์คนไทยด้วย เราเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้คนไทย”
รุกธุรกิจใหม่
Global เป็นตลาดที่ท้าทาย เพราะเป็นตลาดที่แข่งขันสูง โอกาสเยอะ แน่นอน OR อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราคงไม่ได้หยุดการเติบโตในประเทศไทย เพราะเราคงรู้อยู่ว่าตลาดในไทยการเติบโตมันน้อย เกือบจะแฟลช ตลาดโต 1% คอนซัมชั่นโตไม่มาก เทคโนโลยีเข้ามาใหม่และต้นทุนที่ต่ำลง
ฉะนั้น โออาร์จะคงอยู่ในธุรกิจเดิมต่อไปไม่ได้ เราจึงต้องไดเวอร์ซิฟายด์ไปยังธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Food and Beverage ซึ่งพี่ ๆ ทำมา 10-20 ปี เราก็พยายามเติมแบรนด์ต่าง ๆ เข้าไป รวมถึงลงทุนสิ่งใหม่ ๆ ผสมผสานกับพันธมิตร รวมถึงการขยายเข้าไปในเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ
“การรุกสู่ Health and Beauty คงไม่มีใครคิดว่าเราจะเข้าไปมาก่อน ถามว่าเสี่ยงไหม ก็เสี่ยง แต่ถ้าเราไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ก็ไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดี เพราะเซ็กเมนต์นี้กว้างมาก และยังไม่มีใครเป็นเจ้าของในเมืองไทย โออาร์ในฐานะรีเทล เรามองเรื่อง Ecosystem เรามองถึง Strategic Investment คือเข้าไปซื้อหุ้นในสัดส่วนที่มีปฏิบัติการแล้ว หรืออย่าง Found & Found เป็นธุรกิจที่เราอยากจะเข้าไป Operate เอง เพื่อเรียนรู้ลองผิดลองถูก โดยเริ่มจาก 10 ร้านก่อน เป็นการก้าวไปสู่อีก ERA หนึ่งของกลุ่ม ปตท. หรือเรียกว่าน่านน้ำใหม่”
ส่วนเรื่องโรงแรมอยู่ในไปป์ไลน์ไม่ได้ทิ้ง แต่อยู่ระหว่างศึกษา เพราะเวลาคิดแผนการลงทุนคิดเป็น Ecosystem อะไรที่จะฟูลฟิลให้ Ecosystem สมบูรณ์แบบ ซึ่งโรงแรมคงไม่ได้อยู่ในโรงแรมกลางเมือง แต่คงจะเติมในบางจุดที่จำเป็นที่คนเดินทางต้องพัก ดังนั้นต้องเลือกโลเกชั่น และต้องหาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพราะโออาร์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจเองได้ทุกอย่าง ดังนั้นต้องจับคู่ถูกฝาถูกฝั่ง
Virtual Bank
ขณะนี้เราสนใจทำ Virtual Bank เป็นจิ๊กซอว์หนึ่ง แต่เรื่องนี้ยังอยู่ในช่วงการศึกษา และรีวิวคอนแทร็กต์ต่าง ๆ การจะเข้าไปนั้นอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารบริษัท
“ตอนนี้บอร์ดรับทราบ และรีวิวในเชิงกลยุทธ์ แต่ต้องมาทำในเชิงการเวอริฟายด์มากขึ้น ส่วนที่จะทำกับใครอาจจะพอได้ยิน เพราะคนที่จะทำเรื่องนี้อย่างมีศักยภาพก็มีอยู่อย่างจำกัด เรามีความได้เปรียบเรื่อง Physical Platform กรุงไทยจะได้เปรียบเรื่องแบ็กเอนด์ เช่น การดูแลเครดิต Risk Management ต่าง ๆ คือการผสานกันระหว่าง Ecosystem ส่วนจะถือหุ้นสัดส่วนเท่าไรนั้นในตอนนี้กรรมการยังไม่อนุมัติตัวเลข สรุปภายในเดือนกันยายน 2567 ทุกอย่างมีไทม์ไลน์”
ผุด Amazon Park
อีกหนึ่งสิ่งที่จะดำเนินการคือการขยายสาขาคาเฟ่อเมซอน เรามุ่งจะขยายธุรกิจ แต่กลยุทธ์เราต้องการมุ่งสู่ตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น โดยจะมีการลงทุน Amazon Park ใน จ.ลำปาง บนพื้นที่ 600 ไร่ ผมจะพาคณะกรรมการบริหารบริษัท (บอร์ด) ไปลงพื้นที่เดือนกันยายน 2567 จากนั้นจะขออนุมัติการลงทุนในเดือนตุลาคม 2567 หากก่อสร้างเฟสแรกปีนี้เริ่ม 350 ไร่ก่อน จากนั้นค่อยทำเฟสที่เหลืออีก 250 ไร่ คาดว่าภายใน 2 ปี จะสามารถเปิดให้บริการได้
“หากเราจะขยายคาเฟ่อเมซอน ให้มีความยั่งยืนในตลาดต่างประเทศ ต้องมีแพลตฟอร์มสำหรับการเล่าเรื่องสตอรี่ เวลาที่นักลงทุนต่างจะมาลงทุน ต้องมีโลเกชั่นที่จะบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เพราะคาเฟ่อเมซอนจะโตอีก 10-20 ต่อไปในประเทศไทยลำบาก แต่หากมี Amazon Park บอกเล่าเรื่องราวนำไปสู่การขยายการลงทุนต่างประเทศ ช่วยให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้”
ทั้งนี้ ใน Amazon Park จะมีการทำศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม R&D พัฒนาต้นกล้ากาแฟเอง จากตอนนี้เราซื้อจากหน่วยงานราชการ และเรามีกลางน้ำเข้มแข็งมีโรงคั่ว ปลายน้ำก็มีร้านคาเฟ่อเมซอนมากกว่า 4,200 สาขา คือการสร้าง Ecosystem ซึ่งเราต้องสเกลอัพคาเฟ่อเมซอนสู่แบรนด์ระดับโลก ต่อไปจะเป็นสถานที่จัดประชุม World Coffee ให้องค์ความรู้กับผู้ประกอบการ นักศึกษา เป็นการสร้างความภูมิใจในแบรนด์ และยังสร้างรายได้ในกับชุมชนท่องเที่ยวให้กับ จ.ลำปาง คอนเซ็ปต์คล้ายกับ สิงห์พาร์ค นำไปสู่การพัฒนาสู่ความยั่งยืน
พร้อมกันนี้ เราสมัครแอปพลิเคชั่น VERRA เพื่อเตรียมพร้อมจะขายคาร์บอนเครดิตกาแฟ ซึ่งเรา VERRA จะเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถขายในตลาดระดับสากลได้ หากได้รับการรับรอง แต่การจะรับรองได้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน คือ มีไม้ร่มเงา ที่จะปลูกเป็นร่มเงาในพื้นที่ จากนั้นก็จะเคลมคาร์บอนเครดิตตรงนั้น สอดรับกับเป้าหมายของ OR 2030 สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน และสู่การเป็น Net Zero ปี 2050 เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่โออาร์ทำเรื่อง Sustainable Aviation Fuel (SAF) เพื่อจะผลักดันเป้าหมายนี้เช่นกัน
เป้าหมายผลประกอบการ
“ผลประกอบการยังอยู่ในกรอบ KPI ที่วางไว้ ซึ่งครึ่งปีหลังช่วงหน้าฝนเราเพิ่มยอดขายในช่วงหน้าฝน และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงวันหยุดยาวไตรมาส 4 ลุยเต็มที่ ส่วนเป้าหมายการขยายสาขา PTT Station ได้ 100 ปั๊ม และอเมซอน 36 สาขา ตามเป้าหมาย แต่เราพบว่ามีพื้นที่ใหม่ ๆ ในการขยายสาขา เช่น อำเภอ หรือถนนสายใหม่ ๆ ส่วนปริมาณการขายน้ำมัน ในส่วนของค้าปลีกก็คงต้องรอลุ้นในไตรมาส 3 อีกที แต่ตอนนี้เราโตในส่วนของน้ำมันเครื่องบิน โตมาก 2 ดิจิต”
นอกจากการลงทุนขยายธุรกิจ เรายังมุ่ง Digital Transformation เต็มรูปแบบ เพราะความท้าทายของโออาร์คือการแข่งขัน ซึ่งเราต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี ทั้งน้ำมันหรือการดูแล Inventory ซึ่งเราต้องวางกลยุทธ์ในการนำ Data มาใช้วางบลูพรินต์ สร้างไดเร็กชั่นที่ชัดเจน เพราะ Data เป็นการสร้างมูลค่าในการคาดการณ์ด้านต่าง ๆ นำไปสู่การบริหารจัดการด้านต่าง ๆ เช่น ทำไดเร็กต์โปรโมชั่น
มองการแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนน้ำมัน
กรณีที่จะมีการแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนน้ำมัน เท่าที่ทราบเบื้องต้น เราก็พร้อมในการปฏิบัติตามแนวทาง เรื่องดังกล่าวคงอยู่ในช่วงการศึกษา ซึ่งเมื่อได้รับทราบรายละเอียดเราคงนำมาศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในส่วนของเรา
“โออาร์เราเป็นบอดี้ของรัฐ ถึงแม้ว่าเราอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราก็ต้องน้อมรับในนโยบาย เราอาจจะไม่ได้เห็นภาพใหญ่ของประเทศ เราก็จะให้ข้อมูลที่มากที่สุด เราคงให้ข้อมูลข้อดี-ข้อเสีย หรือความเสี่ยง เราก็จะเรียนท่าน แต่การตัดสินใจอยู่ที่ท่านดำเนินการ เราต้องแฟร์กับฝ่ายจัดการที่ดูแลภาพใหญ่ของประเทศ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเมเนจพอร์ตโฟลิโออย่างไร ผมอยู่ในเซ็กเตอร์พลังงาน แต่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับเซ็กเตอร์อื่น ๆ ทั้งพาณิชย์ อุตสาหกรรม ที่ต้องบริหารจัดการ เราเป็นแค่ 1 จิ๊กซอว์ของประเทศ”