
กองทุนน้ำมันฯติดลบต่อเนื่อง 4 ปี เหตุอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง-วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน หนักสุดปี 2567 ขยับเพดานดีเซล 33 บาท/ลิตร กองทุนขาดสภาพคล่องหนัก ดันติดลบ 111,663 ล้านบาท เตรียมทยอยจ่ายเงินต้นให้สถาบันการเงินหลังเป็นหนี้ 105,333 ล้าน พ.ย.นี้
วันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2563 สถานการณ์พลังงานในขณะนั้นอยู่ในภาวะชะลอตัวจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กิจกรรมด้านเศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหวน้อยทำให้การบริโภคพลังงานลดลงตามไปด้วย ซึ่งในขณะนั้นฐานะกองทุนน้ำมันฯเป็นบวกประมาณ 30,000 ล้านบาท
เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายการบริโภคน้ำมันกลับมามีอัตราเติบโตทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กองทุนน้ำมันฯเริ่มชดเชยก๊าซ LPG ตรึงอยู่ที่ 318 บาท/ถังขนาด 15 กก. เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ภาคครัวเรือน ขณะที่ในช่วงต้นปี 2565 เกิดสงครามสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดโลกซึ่งเคยพุ่งทะลุระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้กองทุนน้ำมันฯต้องชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในประเทศให้อยู่ที่ราคา 30 บาท/ลิตร
โดยเคยชดเชยสูงสุดถึง 14 บาท/ลิตร กองทุนน้ำมันฯในเวลานั้นติดลบราว 130,000 ล้านบาทจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแบบขั้นบันไดถึง 35 บาท/ลิตร
จึงได้มีการแก้ไขกรอบวงเงินกู้ ตามมาตรา26 วรรคสาม โดย ครม.มีมติขยายกรอบเป็น 150,000 ล้านบาท และขอให้รัฐบาลอนุมัติออกพระราชกำหนดผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 เพราะกฎหมายกองทุนน้ำมันฯมีกรอบวงเงินกู้ยืมได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินในการปล่อยกู้ให้กับกองทุนน้ำมันฯในวงเงินกู้ 105,333 ล้านบาท ซึ่งกำลังจะถึงกำหนดเวลาทยอยจ่ายคืนเงินต้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้
สำหรับในช่วงต้นปี 2566 สถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มผ่อนคลาย กองทุนน้ำมันฯได้มีการลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงจำนวน 6 ครั้ง เหลือ 32 บาท/ลิตร ในช่วงเดือนพฤษภาคม และในช่วงเวลาที่ลดการชดเชยก็เริ่มมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จนทำให้สถานะกองทุนน้ำมันฯติดลบลดลงเหลือประมาณ 49,000 ล้านบาท ต่อมาเมื่อได้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้มีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตร
ขณะที่มาตรการลดภาษีสรรพสามิตที่เคยเข้ามาเป็นกลไกช่วยพยุงราคาดีเซลอีกทางหนึ่งได้หมดอายุลง ทำให้กองทุนน้ำมันฯเป็นกลไกหลักเดียวในการพยุงราคาน้ำมัน ทำให้ปัจจุบันติดลบ 111,663 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ได้มีมาตรการการตรึงราคาน้ำมันดีเซล กำหนดเพดาน
เป็นไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ไว้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ส่วนราคาก๊าซ LPG ตรึงไว้ที่ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 ได้ขยายมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร เป็นรอบที่สอง ออกไปอีก 3 เดือน ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2567 โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ แต่อัตราการชดเชยต้องไม่เกิน 2 บาท/ลิตร
“ผมเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงครั้งแรกช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งขณะนั้นฐานะกองทุนน้ำมันฯยังเป็นบวกอยู่ถึง 3 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาส่วนใหญ่มาจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ผันผวนก่อนสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด หลังจากมีวัคซีนโรคโควิดเริ่มผ่อนคลายลง เศรษฐกิจถูกกระตุ้นอัตราการเติบโตทำให้ราคาน้ำมันเริ่มเข้าสู่ขาขึ้นเรื่อยมา จนกระทั่งโลกต้องพบกับวิกฤตที่สั่นคลอนราคาน้ำมันครั้งใหญ่จากการสู้รบรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2565 ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเกินระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กองทุนน้ำมันถูกใช้เป็นกลไกหลักในการพยุงราคาดีเซลในประเทศไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ควบคู่กับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในบางช่วง และแม้ว่าในปี 2566 สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย แต่ก็ยังมีความผันผวนด้านราคาจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและเศรษฐกิจที่ยังซบเซา ส่งผลให้สถานะของกองทุนน้ำมันฯยังคงต้องแบกรับการอุดหนุนราคาดีเซลอยู่ต่อไปจนทำให้เริ่มเกิดวิกฤตอีกรอบในปี 2567 กองทุนน้ำมันฯติดลบเกินกว่า 1 แสนล้านบาทอีกรอบ และครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯเองซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่วิกฤตมาจากปัจจัยภายนอก” นายวิศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ติดลบ 111,663 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,597 ล้านบาท ในส่วนของประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดมีรายรับประมาณวันละ 88.15 ล้านบาท แบ่งเป็น รายรับประเภทน้ำมันวันละ 81.76 ล้านบาท และรายรับก๊าซ LPG วันละ 6.39 ล้าน แต่กองทุนน้ำมันฯยังมีการชดเชยน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.40 บาท/ลิตร คิดเป็นรายจ่ายประมาณวันละ 26.73 ล้านบาท