TFM ผงาดกำไรครึ่งปีแรก 233 ล้านบาท โต 1,064% สูงสุดตั้งแต่ IPO กำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 17.5% โชว์ผลงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น ถือเป็นการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงสุดที่ได้มีการประกาศจ่ายตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
วันที่ 5 สิงหาคม 2567 นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจ เพราะมีอัตราการเติบโตที่ดีและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย TFM ยังคงเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน
โดยบริษัทสามารถทำยอดขายได้ 2,545.8 ล้านบาท และมีความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 444.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 161.3% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 233.4 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,064.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตในโรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมไปถึงผลการดำเนินธุรกิจของ TFM ในประเทศอินโดนีเซียที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ตลอดจนการปรับกลยุทธ์การขายและพอร์ตสินค้าของบริษัทส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.04 บาท ต่อหุ้นขึ้นมาอยู่ที่ 0.47 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกเรายังประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวม 150 ล้านบาท
“ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของเรายังคงเติบโตต่อเนื่อง และสามารถขยายตัวได้ เนื่องจากเรามีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นายพีระศักดิ์กล่าว
สำหรับการเติบโตในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 TFM มีรายได้จากการขาย 1,296.7 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 243.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 98.9% โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 129.4 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปีที่ผ่านมาถึง 170.9% ซึ่งเป็นผลจากความสม่ำเสมอของการดำเนินกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตสินค้าที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขยายตลาด และบริหารจัดการต้นทุนการผลิต
ซึ่งรวมไปถึงประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าอาหารสัตว์น้ำสู่สินค้าที่มีศักยภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.8% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากอัตราขั้นต้นที่ 9.1%ในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มเป็น 9.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 3.1% อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มจาก 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นมาอยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังปี 2567 บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำกำลังจะกลับมาเติบโตทั้งจากการขยายตลาด และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยบริษัทจะมุ่งต่อยอดการพัฒนาอาหารสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ตอบโจทย์เกษตรกรในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค
“นอกจากภาคธุรกิจแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่น การเพาะเลี้ยง และนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น โดยเดินหน้าจัดทีมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง
เช่น ประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาดภายในฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลากะพง การเลือกใช้วัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทาน และโทษของการใช้สารต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทร่วมมือกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน มีมาตรการรับซื้อผลผลิตสัตว์น้ำที่เป็นวัตถุดิบหลักในกลุ่ม เช่น กุ้งขาว และปลากะพง เป็นต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรในการหาช่องทางตลาดปลายทางให้กับเกษตรกร ซึ่งได้มีการทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี” นายพีระศักดิ์กล่าว